CEO Talk : จิตวุฒิ ศศิบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด
จิตวุฒิ ศศิบุตร
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด
ปั้นโมเดลธุรกิจใหม่
หวังโตก้าวกระโดดภายใน 5 ปี
“ความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง ฮาวเด้น แมกซี่ และ สบาย เทคโนโลยี จะเป็นต้นแบบในการขยายการเติบโตของบริษัท โดยผ่าน บริษัทร่วมทุน ที่ชื่อว่า บริษัท สบาย แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด รวมถึงจะเพิ่มศักยภาพการให้บริการกับลูกค้าในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตอย่าง ก้าวกระโดดเป็น TOP 5 ของบริษัทนายหน้าประกันภัยไทยภายในปี 2569”
ในส่วนของ ฮาวเด้น แมกซี่ ในสภาวะเศรษฐกิจ ที่มีผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 “สิ่งที่เราต้องทำคือรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ให้ได้ และขยายฐานลูกค้าใหม่ให้ได้มากที่สุด พร้อมมองหาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สามารถ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต”
“บริษัท สบาย แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ได้ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ รูปแบบต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการ สร้างการเข้าถึงบริการประกันภัยให้ง่ายขึ้น นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น ประกันรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ประกันอุบัติเหตุ ประกันมะเร็ง ประกันเดินทาง ประกันขนส่งสินค้าจากหน้าร้านเครือข่ายของสบายฯ เรายังมีแผนขยายงานอื่นๆ ในอนาคต เช่น แผนประกันภัยไซเบอร์ แผนประกันภัยเพื่อคุ้มครองอะไหล่รถยนต์ เป็นต้น โดยเน้นนำเสนอผ่านช่องทางออนไลน์ และหน้าร้านชิปป์สไมล์ภายใต้เครือข่าย สบาย เทคโนโลยี เป็นหลัก ซึ่งหวังว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี”
จากเป้าหมายในการเป็นบริษัทนายหน้ารับประกันภัยระดับสากลของ ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับรูปแบบของธุรกิจที่เปลี่ยนไปจากสถานการณ์โควิด 19 บริษัทจึงได้ตัดสินใจสร้างโมเดลธุรกิจต้นแบบโดยการร่วมทุนกับพันธมิตรที่มี ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่มีเครือข่ายที่ครอบคลุม สร้างตลาดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตของบริษัท ภายใต้การนำทีมของ จิตวุฒิ ศศิบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด
โตสวนกระแสโควิด
จิตวุฒิกล่าวว่า แม้สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในทุกภาคส่วน โดยในส่วนของภาคธุรกิจประกันภัยได้รับผล กระทบโดยตรงจากเบี้ยประกันภัยที่ลดลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเบี้ยประกันภัยรถยนต์ซึ่งมีสัดส่วนถึง 50% ของเบี้ยประกันภัยของธุรกิจทั้งหมด เนื่องจากยอดขายรถยนต์ใหม่ที่ลดลงถึง 30% ส่งผลให้เบี้ยใหม่ของประกันภัยรถยนต์ของอุตสาหกรรมประกันภัยลดลงตามไปด้วย ขณะเดียวกัน เบี้ยในส่วนของประกันภัยการ เดินทาง การท่องเที่ยว รวมถึงแผนประกันสุขภาพกลุ่ม เพื่อสวัสดิการของพนักงานของบริษัทขนาดใหญ่ เช่น กลุ่ม ธุรกิจโรงแรม ท่องเที่ยว สายการบิน ที่เคยเป็นลูกค้าของบริษัทก็ไม่มีเบี้ยประกันใหม่หรือต่ออายุกรมธรรม์ได้เหมือนเดิม เนื่องจากการเลิกจ้างพนักงาน หรือหยุดกิจการ ซึ่งส่งผลให้ เบี้ยประกันในส่วนของประกันภัยการเดินทางและประกันสุขภาพลดลงหรือไม่หายไปจากพอร์ต ของบริษัทด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของกลุ่มลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจร่วมกับภาครัฐ ที่ต้องชะลอแผนการขยายธุรกิจออกไปก่อน ส่งผลให้เบี้ยประกันจากประกันในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประกันการก่อสร้าง ประกันทรัพย์สิน ซึ่งส่งผลให้เบี้ยประกันในส่วนนี้ ลดลง ไปด้วย
จิตวุฒิกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม แม้รายได้หลักของธุรกิจประกันภัยจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ก็ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจให้บริการ บริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนต่อไปได้ เห็นได้จากแต่ละบริษัทมีการปรับกลยุทธ์รับมือ โควิดในหลายรูปแบบ เช่น การนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางออนไลน์ การนำเสนอแผนประกันรูปแบบใหม่ที่เข้าง่ายไม่ซับซ้อนอย่างแผนประกันภัยโควิด แผนประกันแพ้วัคซีนโควิด เป็นต้น โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการ นำมาตรการต่างๆ ออกมารับมือกับสถานการณ์โควิดอย่างเต็มที่จนสามารถประคองธุรกิจและสร้างผลประกอบการอย่างสวนทางกับผลกระทบโควิดได้เป็นอย่างดี
โดยผลประกอบการ ปี 2563 เติบโตประมาณ 12% ขณะที่ในปี 2564 ตั้งเป้าที่จะเติบโตประมาณ 10% จิตวุฒิกล่าวว่า การที่บริษัทสามารถเติบโตสวนกระแสโควิดได้นั้น เนื่องจากบริษัทได้มีการนำมาตรการต่างๆ เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการธุรกิจ อาทิ มาตรการ Work Form Home ที่เข้ามาใช้ลดค่าใช้จ่ายในการทำงานของพนักงาน ในขณะที่ประสิทธิภาพการทำงาน การให้บริการของพนักงาน ยังคงเดิม และต้องดีขึ้นด้วย รวมถึงการชะลอค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ไม่จำเป็นเอาไว้ก่อน ทำให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายของบริษัท เน้นเพิ่มยอดขายและรักษาฐานลูกค้าต่ออายุด้วยการเพิ่มศักยภาพการให้บริการ ให้ความสะดวกในการผ่อนชำระค่าเบี้ยให้นานขึ้น รวมถึงมีการนำเสนอมาตรการช่วยเหลือลูกค้าในหลากหลายรูปแบบเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและบริหารความเสี่ยงให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กรณีที่ลูกค้าประสบปัญหาทางด้านการเงินในการผ่อนชำระสินเชื่อรถยนต์ บริษัทจะช่วยประสานกับไฟแนนซ์เพื่อเพิ่มระยะเวลาในการผ่อนชำระเงินกู้ให้นานขึ้น รวมถึงให้ลูกค้าสามารถผ่อนชำระเบี้ยประกันได้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถผ่อนชำระเงินกู้ต่อไปและยังสามารถจ่ายเบี้ยประกันต่อได้ด้วย
ขณะเดียวกัน บริษัทก็ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการทำประกันภัย โดยมาตรการต่างๆ ที่บริษัทนำเสนอให้กับลูกค้านั้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถรอดพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกันกับบริษัท “สิ่งที่เราต้องทำคือรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ให้ได้และขยายฐานลูกค้าใหม่ให้ได้มากที่สุด พร้อมมองหาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สามารถตอบสนองความต้องการ ของลูกค้าในยุคดิจิทัล เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต”
พัฒนาโปรดักต์เจาะเฉพาะกลุ่ม
จิตวุฒิกล่าวว่า อีกปัจจัยที่สนับสนุนให้บริษัทสามารถเติบโตสวนกระแสโควิดได้นั้น มาจากการที่บริษัทได้มีการพัฒนาแผนประกันรูปแบบใหม่ เพื่อเข้ามาช่วยในการปลดล็อกความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่แท้ให้รถยนต์ ด้วยผลิตภัณฑ์ MAX EXTENDED WARRANTY ซึ่งเป็นโปรแกรมขยายเวลาการรับประกันอะไหล่รถยนต์ ซ่อมศูนย์บริการผู้ผลิตรถยนต์มาตรฐาน ทั่วประเทศ จากเดิมที่ผู้ผลิตรถยนต์อาจจะเคยรับประกันไว้ที่ 3 ปี หรือ 5 ปี เป็นการเพิ่มระยะเวลาในการรับประกันอะไหล่รถยนต์เป็น 5 ปี หรือ 7 ปี ตามลำดับ โดยแบบประกัน MAX EXTENDED WARRANTY จะให้ความคุ้มครองรถยนต์ทุกยี่ห้อ เก๋ง กระบะ รถตู้ SUV รถส่วนบุคคลทุกชนิด สำหรับรถที่มีอายุไม่เกิน 10 ปี หรือเลขไมล์ไม่เกิน 200,000 กิโลเมตร สมัครง่าย ไม่ต้องมีการตรวจสภาพ ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเกินความคาดหมาย และเป็นแบบประกันที่ขายดีของบริษัทในช่วงวิกฤติโควิดด้วย เพราะเชื่อว่าลูกค้าอาจใช้รถยนต์คันเดิมนานขึ้น หมดกังวลกับค่าซ่อมในอนาคตเมี่อรถยนต์เริ่มมีอายุการใช้งานที่เยอะขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมนำเสนอแผนประกันภัยไซเบอร์ โดยมองว่า ในอนาคตอาชญากรรมทางด้านไซเบอร์จะมีมากขึ้น เนื่องจากการทำธุรกรรม ซื้อ-ขายของ ทางออนไลน์มากขึ้น ประกันไซเบอร์จะช่วยลดความกังวลของประชาชนลงได้
ขณะเดียวกัน ก็เตรียมที่จะพัฒนาช่องทางการขายผ่านออนไลน์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในยุคดิจิทัล “บริษัททำการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการแบบเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น แผนประกันภัยไซเบอร์ แผนประกันภัยขยายการรับประกันอะไหล่รถยนต์ เป็นต้น
โดยเน้นนำเสนอผ่านช่องทางออนไลน์ เป็นหลักซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี” การตัดสินใจปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างรวดเร็วในครั้งนี้ ส่งผลให้บริษัทสามารถบริหารจัดการธุรกิจจนทำให้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทมีการเติบโตของกำไรจากปีก่อนถึง 25% โดยเป็นผลมาจากการที่บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มรายได้จากการบริการลูกค้าที่มากขึ้น พร้อมตั้งเป้าภายในปี 2564 บริษัทน่าจะมีรายได้ที่เติบโตจากปีก่อนประมาณ 10%
แตกไลน์ธุรกิจปั้นโมเดลใหม่
จิตวุฒิกล่าวว่า ด้านแผนการขยายธุรกิจของบริษัทนั้น ในปีที่ผ่านมา บริษัทร่วมกำหนดยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจอย่างใกล้ชิดร่วมกับ ฮาวเด้น ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งให้ความสนใจกลุ่มลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าและพลังงาน เนื่องจากมองว่าโลกในปัจจุบันให้ความสนใจในเรื่องของการลงทุนด้านพลังงานมากขึ้น โดยมีการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ๆ เพื่อรองรับพลังงานทางเลือก รูปแบบใหม่กันมากขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงได้เริ่มขยายฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจนี้อย่างจริงจัง เพื่อนำเสนอแผนประกันทรัพย์สิน ประกันการก่อสร้าง ความรับผิดทางกฏหมาย รวมถึง ประกันการก่อการร้าย เป็นต้น
โดยเมื่อต้นปี 2564 ฮาวเด้น แมกซี่ ได้เข้าไปลงทุนตั้งบริษัทลูก เพื่อให้บริการลูกค้าและนักลงทุนในประเทศเมียนมา เป็นประเทศแรก โดยมีการจัดตั้งบริษัทชื่อ ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ ซึ่งถือหุ้นโดย ฮาวเด้น แมกซี่ 100% แม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในเมียนมา แต่บริษัทก็ไม่ได้ถอนการลงทุน โดยยังคงมีทีมงานคอยดูแลลูกค้าพร้อมคอยอำนวยความสะดวกอย่างต่อเนื่อง และยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศเมียนมาต่อไป โดยเตรียมที่จะขยายการลงทุนไปยัง ประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ในโอกาสต่อไป
นอกจากนี้ เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงประกันภัยได้มากขึ้น บริษัทจึงได้ตัดสินใจร่วมทุนกับ บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) เพื่อจัดตั้งบริษัทนายหน้าประกันภัย ในชื่อ สบาย แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ สัดส่วนผู้ถือหุ้น ประกอบด้วย บริษัท สบาย เทคโนโลยี 50% ฮาวเด้น แมกซี่ 37% MGC-Asia 10% รายบุคคลที่ 3% โดยมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อเสริมศักยภาพในการให้บริการกับลูกค้าในอนาคต ผ่านร้านชิปป์สไมล์ (Shipsmile)ในเครือข่ายของ สบาย เทคโนโลยี มากกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ และจะเพิ่มเป็น 4,000 สาขาภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเป็นช่องทางสำคัญในการขยายบริการและผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่างๆ
รวมถึงเป็นการเพิ่มความหลากหลายของบริการจากทางร้าน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จิตวุฒิกล่าวว่า จากศักยภาพที่แข็งแกร่งของกลุ่มสบายฯ จะทำให้ SABUY MAXI สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ลงลึกได้ถึงระดับชุมชน ครอบคลุมทั่วประเทศ ภายใต้ Ecosystem ของสบายฯ โดยเฉพาะการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านบริการของร้านชิปป์สไมล์ และควิกเซอร์วิส สามารถให้ผู้บริโภคเข้าถึงการประกันภัยได้สะดวกมากขึ้น ผ่านการเชื่อมต่อกับระบบจัดการร้านค้าปลีกของกลุ่มสบายฯ (SABUY POS) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในเดือนตุลาคม 2564
ทั้งนี้ บริษัทได้กำหนดให้ SABUY MAXI เป็นโมเดลต้นแบบของการขยายธุรกิจ รูปแบบใหม่ของบริษัท ซึ่งต่อจากนี้ในการขยายธุรกิจของบริษัทจะเน้นการร่วมทุน กับพันธมิตรทางธุรกิจที่ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นหลัก เพื่อนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทั้งสองบริษัทมาช่วยในการขยายธุรกิจเพื่อรองรับกับรูปแบบของการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป หลังวิกฤติโควิด สำหรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจของ SABUY MAXI นั้น จะเน้นกลุ่มลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก
โดยในการบริหารจัดการจะแยกจาก ฮาวเด้น แมกซี่ อย่างชัดเจน โดยมี มารุต พรมมาลี เป็นกรรมการผู้จัดการ โดยจะเป็นการนำเสนอบริการประกันภัยผ่านร้านในเครือข่าย ซึ่งบริษัทจะมีการจัดอบรมโดยให้ความรู้ด้านการประกันภัยกับเจ้าของร้าน รวมถึง Ecosystem อื่นๆ ของ กลุ่ม สบาย เทคโนโลยี ทั้งหมด กรณีที่ลูกค้าต้องการข้อมูลหรือบริการที่มีความซับซ้อน เจ้าของร้านสามารถติดต่อกับ SABUY MAXI
โดยบริษัทจะมีทีมคอลเซ็นเตอร์ หรือ แชทบอท หรือแอดมินทำหน้าที่ในการสนับสนุนข้อมูลหรือให้บริการกับลูกค้าผ่านระบบออนไลน์แบบเรียลไทม์ที่บริษัทได้พัฒนาไว้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถรับบริการได้สะดวก รวดเร็ว และสามารถเข้าถึงบริการได้ทันทีผ่านระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยของบริษัท โดยมองว่า SABUY MAXI จะเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเน้นขยายฐานลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก ขณะที่ฮาวเด้น แมกซี่ฯ จะเน้นฐานลูกค้าองค์กรเป็นหลัก
จิตวุฒิกล่าวว่า วิสัยทัศน์ของ ฮาวเด้น แมกซี่ ในการขยายธุรกิจ คือการเป็นนายหน้าประกันภัยระดับสากล ผ่านการสร้างเครือข่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ สร้าง รายได้แบบก้าวกระโดดจากปัจจุบันที่มี รายได้อยู่ที่ 250 ล้านบาทเป็น 500 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายในการเติบโดยติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศไทย ภายในระยะเวลา 5 ปี “ความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง ฮาวเด้น แมกซี่ และ สบาย เทคโนโลยี จะเป็นต้นแบบในการขยายการเติบโตของบริษัท โดยผ่าน บริษัทร่วมทุน ที่ชื่อว่า บริษัท สบาย แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด รวมถึงจะเพิ่มศักยภาพการให้บริการกับลูกค้าในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น TOP 5 ของบริษัทนายหน้าประกันภัยไทยภายในปี 2569”
ติดตามคอลัมน์ CEO Talk ได้ในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนกรกฎาคม 2564 ฉบับที่ 471 บนแผงหนังสือชั้นนำทั้่วประเทศและในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi