Exclusive Interview : กุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปลี่ยนผ่านพลังงานไทย สู่ยุคพลังงานหมุนเวียน
กุลิศ สมบัติศิริ
ปลัดกระทรวงพลังงาน
เปลี่ยนผ่านพลังงานไทย
สู่ยุคพลังงานหมุนเวียน
“กระทรวงพลังงาน ดำเนินการอย่างเข้มข้น เพื่อเข้าสู่โครงสร้างพลังงานยุคใหม่ ที่จะครอบคลุมการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในทุกระดับ ปูทางเข้าสู่แนวทางการประกอบธุรกิจตามหลักความยั่งยืน หรือ ESG ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ จากมาตรการต่างๆ รวมถึงกฎ กติกา ที่เป็นธรรม สนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุน และประกอบธุรกิจด้านพลังงานสะอาด เป็นการกระจายเม็ดเงินลงทุนสู่ชุมชน”
ปัจจุบัน
อุตสาหกรรมพลังงานกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วไป
โดยมีฟันเฟืองสำคัญอย่างเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือพลิกโฉมรูปแบบพลังงาน
เปลี่ยนผ่านจาก “พลังงานฟอสซิล” ไปสู่อนาคตคือ “พลังงานหมุนเวียน”
ซึ่งเป็นพลังงานที่ได้จากแหล่งพลังงานตามธรรมชาติ ใช้แล้วไม่หมดไป เช่น แสงแดด ลม
น้ำ ชีวมวล จนถึงความร้อนใต้พิภพ
ซึ่งเทรนด์เรื่องพลังงานหมุนเวียนนี้ถูกให้ความสำคัญอย่างมากบนเวทีโลก
นานาประเทศล้วนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก รวมถึงประเทศไทยด้วย
การเงินธนาคาร
ได้สัมภาษณ์พิเศษ กุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน
กับภารกิจสุดท้าทายในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศไทย
ข้ามผ่านกำแพงความเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้งานพลังงานหมุนเวียน
พร้อมมาตรการทั้งระยะสั้น-ยาว ที่วันนี้ไม่ได้เพียงแค่นโยบาย
แต่ลงมือทำไปแล้วทั้งสิ้น รวมทั้งยังฉายมุมมองเกี่ยวกับวิกฤติราคาพลังงาน
ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตลอดจนสถานะของกองทุนน้ำมัน
ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตินี้เต็มๆ
ไทยประกาศเป็นกลางทางคาร์บอน
เร่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 50%
กุลิศ
เริ่มให้สัมภาษณ์พิเศษว่า ในการประชุม COP21 รัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ
ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี 2558 ที่มี 196 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม
ได้มีการตกลงที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์
หรือ CO2
สู่อากาศ เป็นมลพิษมาห่อหุ้มชั้นบรรยากาศโลก และดูดซับรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์
เป็นผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นจนเกิดเป็นสภาวะโลกร้อน
โดยการประชุมตั้งเป้าจะลดให้ได้เกินกว่า 25%
และควบคุมระดับอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส
ต่อมาในการประชุม
COP26
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ผู้นำประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย
ประกาศเป้าหมายให้ประเทศของตน เข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และเข้าสู่ Net Zero Green House Gas Emission ในปี
2608 ซึ่งเป้าหมายที่ผู้นำประเทศต่างๆ ได้ประกาศ นำไปสู่การวางแผน
และกำหนดนโยบายที่ท้าทายว่า
ทุกประเทศต้องลงมือนำแผนไปสู่ภาคปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้
กุลิศเผยว่า
ในปี 2564 ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สู่อากาศรวมทั้งสิ้น 244
ล้านตัน โดย 156 ล้านตัน ถูกปล่อยจากภาคพลังงาน 36% ภาคขนส่ง 28%
และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นี้มาจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลผลิตไฟฟ้าถึง 87%
(ก๊าซธรรมชาติ 70% ถ่านหินและน้ำมัน 17%)
ขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เป็นพลังงานสะอาด
ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ ลม น้ำ และชีวมวลที่ผลิตจากพืช วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
ชีวภาพหมักชีวมวลและมูลสัตว์ มีสัดส่วนเพียง 11% ส่วนภาคขนส่งในประเทศไทยนั้น
ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับ รถ เรือ เครื่องบิน เป็นสัดส่วนถึง 97% ใช้ก๊าซ NGV 2%
และใช้ไฟฟ้าเพียงแค่ 1% เท่านั้น
“หากเราปล่อยให้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มสัดส่วนเอง
โดยไม่มีมาตรการหรือนโยบายสนับสนุนใดๆ จากภาครัฐ ใน 20 ปีข้างหน้า
สัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มขึ้นได้ไม่เกิน 30%
หรือหากปล่อยให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV โตขึ้นเองจาก 1%
ประเทศไทยจะไม่มีทางไปถึงเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 หรือ Net Green House Gas Zero Emission ในปี
2608 ตามที่ประกาศไว้ในการประชุม COP26
ได้อย่างแน่นอน”
ดังนั้น
เพื่อเป็นการเร่งรัดให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่เป้าหมาย
รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานจึงได้จัดทำแผนพลังงานแห่งชาติ
เป็นแผนยุทธศาสตร์ทางพลังงาน 20 ปีของประเทศขึ้น เพื่อสนับสนุนและขับเคลื่อนการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน
สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศในระยะยาว
แผนพลังงานแห่งชาติจะเป็นแนวทางที่ดูแลสิ่งแวดล้อม
สังคม การเติบโตทางเศรษฐกิจ ไปสู่แนวการดำเนินธุรกิจใหม่ที่มุ่งเน้นเรื่อง ESG โดยแผนพลังงานแห่งชาติฉบับนี้ได้กำหนดนโยบายในการดำเนินการเอาไว้
3 ด้านคือ
1.
เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้า จากพลังงานหมุนเวียนให้ไม่น้อยกว่า 50%
2.
ปรับเพิ่มประสิทธิภาพ และลดการใช้พลังงานให้มากกว่า 30%
3.
ปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานภาคขนส่ง จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก
ให้เป็นพลังงานสะอาด ผ่านการเพิ่มการใช้รถ EV ภายในประเทศ ตามนโยบาย 30@30
ที่ประเทศไทยจะมีการผลิตรถ EV
30% จากยอดการผลิต ให้ได้ภายในปี 2030 หรือ
พ.ศ.2573 พร้อมออกแพ็กเกจสนับสนุนการไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งในด้านของการ Subsidize ราคา
การเพิ่มสถานีชาร์จ และมาตรการทางภาษี
ใช้มาตรการ “4 สหายตัว D”
แปลงแผนงานสู่การปฏิบัติจริง
กุลิศกล่าวว่า
สำหรับการดำเนินนโยบายพลังงานในช่วงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โครงสร้างพลังงานใหม่
ที่เป็นพลังงานสะอาด (Energy
Transition) ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ สู่อากาศ
จะใช้มาตรการที่เรียกว่า “4 สหายตัว D” ในการแปลงแผนสู่ภาคปฏิบัติ โดย D ทั้ง
4 จะประกอบด้วย
1. Decarbonization เป็นการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศให้ได้
10,000 เมกะวัตต์ ใน 20 ปีข้างหน้า โดยจะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ 4,500 เมกะวัตต์
ผ่านโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Floating
Solar) และแผงโซลาร์หลังคาบ้าน (Solar Rooftop) พลังงานลม
1,500 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าชีวมวล/ชีวภาพ ผ่านโรงไฟฟ้าชุมชน 800 เมกะวัตต์
โรงไฟฟ้าขยะ 600 เมกะวัตต์ และซื้อไฟฟ้าพลังงานน้ำจาก สปป.ลาว 2,700 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ จะมีการนำร่องทดสอบระบบดักจับ
กักเก็บ และใช้ประโยชน์จากคาร์บอนไดออกไซต์ที่เรียกว่าระบบ Carbon Capture, Utilization and
Storage : CCUS โดยเริ่มใช้กับกระบวนขุดเจาะก๊าซ
ที่แท่นขุดเจาะในแหล่งอาทิตย์ของ ปตท.สผ. แล้ว และกำลังร่วมกับกรมเชื้อเพลิง
และองค์กรบริหารก๊าซเรือนกระจก เพื่อขยายการใช้งานไปยังพื้นที่อ่าวไทยตอนบนต่อไป
รวมถึงรองรับการขยายตัวของรถยนต์ EV ด้วยระบบชาร์จแบตเตอรี่ในที่พักอาศัย
และสถานีชาร์จรถ EV ทั่วประเทศ
ตลอดจนการพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าด้วย Green
Hydrogen ที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “อิเล็กโทรลิซิส” ที่เป็นการเก็บก๊าซไฮโดรเจนเอาไว้
หากมีความต้องการใช้ไฟฟ้าก็สามารถแปลงไฮโดรเจนมาเป็นกระแสไฟฟ้าได้ทันที
2. Digitalization เป็นการนำเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) เข้ามาใช้ในภาคพลังงาน
มีการใช้ Artificial
Intelligence (AI) สำหรับการจัดเก็บ วิเคราะห์
และพยากรณ์ข้อมูลทางพลังงานหมุนเวียน เป็น Data Platform สำหรับรับ-จ่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้าระบบ
Grid ในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ
แทนการส่งไฟฟ้าแบบปัจจุบันคือ ผลิตจาก กฟผ. ไปยังผู้จำหน่ายไฟฟ้าคือ กฟน. และ กฟภ.
เพื่อจ่ายไฟฟ้าเข้าบ้านหรืออาคารสำนักงาน
3. Decentralization เป็นการเปลี่ยนวิธีการผลิตไฟฟ้า
จากเดิมที่ใช้การสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
มาเป็นการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก กำลังผลิตเพียงแค่ 1-10 เมกะวัตต์
ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และใช้ระบบดิจิทัลในการควบคุม เช่น
โรงไฟฟ้าชุมชมที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
แล้วสร้างเครือข่ายสายส่งขนาดเล็กที่เรียกว่า Micro Grid รับไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่งเข้าระบบ
และนำไฟฟ้านั้นไปขายให้กับประชาชนในราคาถูก เพราะไม่มีต้นทุนในการสร้างโรงไฟฟ้า
4. Deregulation เป็นการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย
เพราะการปรับโครงสร้างพลังงานสู่ยุคของพลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้น
กฎหมายเดิมที่เคยใช้ในอดีตไม่ได้ครอบคลุมถึงเทคโนโลยี
และนวัตกรรมที่ยังไม่เคยเกิดการใช้งานในปัจจุบันหรืออนาคต จึงต้องมีการออกกฎหมาย
ระเบียบข้อบังคับ และกติกาใหม่มารองรับให้เทคโนโลยีสามารถมีบทบาทและอยู่ได้อย่างยั่งยืน
พร้อมเปิดให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตพลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้น
“กระทรวงพลังงาน ดำเนินการอย่างเข้มข้น
เพื่อเข้าสู่โครงสร้างพลังงานยุคใหม่ ที่จะครอบคลุมการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
เสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในทุกระดับ
ปูทางเข้าสู่แนวทางการประกอบธุรกิจตามหลักความยั่งยืน หรือ ESG ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ
จากมาตรการต่างๆ รวมถึงกฎ กติกา ที่เป็นธรรม สนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุน
และประกอบธุรกิจด้านพลังงานสะอาด เป็นการกระจายเม็ดเงินลงทุนสู่ชุมชน”
วิกฤติพลังงานส่อลากยาวถึงปี 66
แจงค่าการกลั่นสูงเป็นตามกลไกโลก
กุลิศกล่าวว่า
ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19
ราคาพลังงานโลกโดยเฉพาะน้ำมัน มีราคาลดต่ำลงมาถึงระดับ 22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ในเดือนเมษายน 2563 จนถึงช่วงกลางปี 2564 ซึ่งมีวัคซีนป้องกันออกมา ความตึงเครียดจากการระบาดของไวรัสเริ่มผ่อนคลายลง
เศรษฐกิจโลกทยอยฟื้นตัว ราคาน้ำมันดิบโลกก็เริ่มปรับราคาสูงขึ้นจาก 30-50
ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาเป็น 60 ดอลลาร์ และขยับเป็น 80 ดอลลาร์ ในช่วงสิ้นปี 2564
โดยมีปัจจัยหนุนจากการลดกำลังผลิตของกลุ่มประเทศผลิตน้ำมัน OPEC+
จนมาถึงช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565
ก็เกิดวิกฤติการณ์สงครามการสู้รบระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน
ราคาน้ำมันดิบโลกพุ่งสูงขึ้นถึง 160 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนมีนาคม
ก่อนกลับมาในระดับ 100 ดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม ปัจจุบันราคาขยับอยู่ในระดับ 118-120
ดอลลาร์ ด้านราคาน้ำมันดีเซลโลกปัจจุบันพุ่งสูงไปถึง 170-180 ดอลลาร์
มีส่วนต่างจากราคาน้ำมันดิบมากถึง 50 ดอลลาร์
สำหรับก๊าซธรรมชาติ ขณะนี้
ภายหลังการเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทาน
และผู้ประกอบการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในแหล่งเอราวัณ
ส่งผลให้การผลิตก๊าซในอ่าวไทยลดลง ขณะเดียวกันราคาก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG ณ
ตลาดญี่ปุ่น เกาหลี ที่เรียกว่า JKM
จากที่ราคา 7-8 ดอลลาร์ต่อ MMBTU ในปี
2563 ขึ้นมาสูงสุดที่ 85 ดอลลาร์ในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของภาวะสงคราม
ก่อนลดลงมาอยู่ที่ 34-45 ดอลลาร์ ปัจจุบันอยู่ที่ 25 ดอลลาร์ต่อ MMBTU ส่วนราคาก๊าซหุงต้มนั้น
ราคาตลาดโลกพุ่งจาก 370 บาทต่อถัง (15 ก.ก.) มาเป็น 460 บาทต่อถัง
กุลิศเผยอีกว่า
สำหรับที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับค่าการกลั่นน้ำมันที่สูงถึง 8 บาทต่อลิตรนั้น
จากการตรวจสอบโครงสร้างค่าการกลั่นน้ำมันของไทย โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
(สนพ.) พบว่า ค่าการกลั่นเฉลี่ย 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค. 2565) อยู่ที่ 3.27 บาทต่อลิตร
และในเดือนพฤษภาคม ค่าการกลั่นอยู่ที่ 5.20 บาทต่อลิตร
ซึ่งสูงขึ้นจากในสภาวะปกติก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19
ที่เคยอยู่ที่ 2.00-2.50 บาท แต่ค่าการกลั่นที่สูงขึ้นนี้ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าการกลั่นในตลาดโลก
โดยเริ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติ Covid-19
และสงครามรัสเซีย-ยูเครน
โดยค่าการกลั่นที่เพิ่มสูงขึ้น
เป็นผลมาจากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันอ้างอิงของทุกผลิตภัณฑ์ปรับสูงขึ้นจากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลก
รวมถึงการที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการป้องกันการระบาดของ Covid-19
และความตึงเครียดจากวิกฤติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ซึ่งนำไปสู่การที่หลายประเทศประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย
ซึ่งเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก
ทำให้อุปทานในตลาดเกิดการตึงตัว
นอกจากนี้
ประเทศจีนยังมีการลดการส่งออกน้ำมันเพื่อสำรองไว้ใช้ในประเทศด้วย
ทำให้ค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นไปตามตลาดโลก
ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา
รัฐบาลพยายามเต็มที่ในการใช้กลไกต่างๆ ลดภาระประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้น
และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการหารือเพื่อขอความร่วมมือกับโรงกลั่นในการบริหารจัดการสำหรับช่วงที่เกิดวิกฤติด้านราคาพลังงาน
“เชื่อว่าวิกฤติพลังงานจะยังคงอยู่ไปจนถึงสิ้นปี
2565 ต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2566 และน่าจะยืดเยื้อต่อไปจากมาตรการคว่ำบาตรที่ยังคงมีอยู่
ทำให้ราคาพลังงานโลกยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น
ประเมินว่าในสิ้นปีนี้ราคาน้ำมันดิบน่าจะอยู่ที่ 110-120 ดอลลาร์ น้ำมันดีเซล
150-170 ดอลลาร์ LNG 25
ดอลลาร์ ในฤดูหนาวน่าจะขยับขึ้นเป็น 35 ดอลลาร์
ซึ่งกระทรวงพลังงานจะดำเนินการทุกวิธีเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ทุกรูปแบบให้ดีที่สุด”
กองทุนน้ำมันติดลบ 90,000 ล้านบาท
แต่ความมั่นคงทางพลังงานยังดีเยี่ยม
กุลิศกล่าวว่า
สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2565 มีสถานะติดลบประมาณ 96,500
ล้านบาท เกิดจากการช่วยพยุงราคาน้ำมันดีเซล 60,000 ล้านบาท และช่วยตรึงราคา LPG ตั้งแต่ปี
2563 ถึงปัจจุบัน แม้จะมีการขยับขึ้นราคาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ก็ยังติดลบ
36,500 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาสภาพคล่องให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เพื่อให้สามารถช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบด้านราคาได้อย่างต่อเนื่อง
“ตามกฎหมายแล้ว
กองทุนน้ำมันจะมีเงินเกิน 40,000 ล้านบาทไม่ได้
ถ้าเกินจากนั้นต้องนำส่งคลังทั้งหมด ซึ่งในช่วงที่ Covid-19 ระบาด ผู้คนไม่ได้ใช้น้ำมัน
จึงนำเงินไปช่วยอุดหนุนราคา LPG
ในช่วงที่ประชาชนอยู่บ้าน จากราคา 363 บาท
ตรึงไว้ที่ 318 บาทต่อถัง และในช่วงต้นปีนี้ ราคา LPG ก็พุ่งสูงเป็น 460 บาทต่อถัง
ทำให้ต้องมีการปรับราคาขึ้นเป็น 363 บาทต่อถัง
ซึ่งก็ยังต้องใช้เงินกองทุนเข้าไปอุดหนุนเป็นจำนวนมากอยู่ดี
แล้วมาซ้ำด้วยวิกฤติราคาน้ำมันอีก ส่งผลให้สถานะกองทุนติดลบหนักในปัจจุบัน”
กุลิศกล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการจัดหาสภาพคล่องให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปัจจุบันกระทรวงพลังงานกำลังดำเนินการอยู่
มีการเจรจากับฝั่งธนาคารพาณิชย์เพื่อจะขอกู้เงินมาเพิ่มสภาพคล่องแล้ว
ขณะที่ทุนสำรองและน้ำมันสำรองของประเทศไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีมาก
โดยมีน้ำมันสำรองการใช้งานได้ถึง 2 เดือนเต็ม
ส่วนแผนงานต่างๆ
ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้ดำเนินการหมดแล้ว
จากนี้เหลือเพียงต้องผ่านพายุวิกฤติพลังงานไปให้ได้
และจะดียิ่งขึ้นไปอีกหากภาคประชาชน ธุรกิจ ผู้ประกอบการ
ร่วมเป็นอีกหนึ่งกลไกในการช่วยประหยัดพลังงาน
เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ รัฐบาลได้เตรียมการช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชนโดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
21 มิถุนายน 2565 เห็นชอบมาตรการด้านพลังงานที่จะคงราคาขายปลีก ก๊าซ NGV ไว้ที่
15.59 บาทต่อกิโลกรัม และคงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ใน
กทม.และปริมณฑล ไว้ที่ 13.62 บาท ต่อกิโลกรัม ไปจนถึงวันที่15 กันยายน 2565
นอกจากนี้ ยังช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 100 บาทต่อ 3 เดือนต่อคน ให้กับผู้ถือบัตร 4 ล้านคน จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 ด้านผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เป็นร้านค้าหาบเร่ แผงลอย ที่มาลงทะเบียนกับปตท. ก็สามารถได้รับสิทธินี้เช่นกัน
ติดตามคอลัมน์ Exclusive Interview ได้ในวารสารการเงินธนาคารฉบับเดือนกรกฎาคม 2565 ฉบับที่ 483 ในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi
รวมช่องทางการสั่งซื้อวารสารการเงินธนาคาร ทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับย้อนหลัง ครบจบที่นี้ที่เดียว : https://bit.ly/3bQdHgt