R3 เผยแนวโน้มเทคโนโลยีบล็อกเชน ชี้ไทยกำลังเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล
นายอามิต กอช
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลและบริการ และ
ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ R3
บริษัทผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อวิสาหกิจชั้นนำของโลก
เผยความคิดเห็นที่มีต่อแนวโน้มของเทคโนโลยีบล็อกเชน
และทิศทางของการพัฒนาอุตสาหกรรมว่า
สถาบันการเงินแบบดั้งเดิมจำนวนมากกำลังนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้งานในฐานะนวัตกรรมใหม่มากขึ้น
รวมถึงการใช้งานในจุดที่มีความสำคัญอย่างมากขึ้นใน Ecosystem ทางการเงินในวงกว้าง
โดยบล็อกเชนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันเป็นเทคโนโลยีหลักสำหรับองค์กรในการลดความเสี่ยง
เพิ่มประสิทธิภาพ และส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมต่างๆ
โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19
ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการเงินแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
เมื่อธนาคารต่างๆ
สามารถเปลี่ยนระบบการทำงานแบบดั้งเดิมให้เป็นระบบดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน
นายอามิต กล่าวต่อว่า ในปีนี้ R3
ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับสถาบันระดับภูมิภาคอย่างธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian
Development Bank: ADB) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานล่าสุดของธนาคาร
เพื่อยกระดับการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนในเอเชียแปซิฟิกให้มีประสิทธิภาพ
ผ่านการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน โครงการนี้เป็นรูปแบบ Proof-of-Concept (POC) เพื่อการสร้างระบบมาตรฐานแบบหลายสกุลเงินข้ามพรมแดน
บนพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (DLT) ในเอเชียแปซฟิก
สำหรับประเทศไทยซึ่งมีการประกาศใช้นโยบายไทยแลนด์
4.0 ทำให้ R3
เห็นว่าประเทศนี้กำลังเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล
โดยพยายามก่อตั้งให้ประเทศเป็นศูนย์รวมนวัตกรรมดิจิทัลแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ไทยมีการเติบโตทางเทคโนโลยีอย่างมากทั้งในหน่วยงานรัฐบาลและภาคอุตสาหกรรม
ซึ่งต่างเปิดรับเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้งานเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังเตรียมประกาศข้อปฏิบัติการจดทะเบียนธนาคารดิจิทัล (VirtualBanking Licensing Guidelines) ในเร็วๆ นี้
“R3
คาดการณ์ว่ารัฐบาลไทยจะประกาศข้อปฏิบัตินี้ในปีหน้า โดย R3
ยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มผู้ถือประโยชน์ในระดับรัฐและสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิก อาทิ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกร ธนาคารกรุงไทย
และธนาคารไทยพาณิชย์ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยกับโครงการอินทนนท์-ไลออนร็อก (Project
Inthanon-Lionrock) โครงการสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Central
Bank Digital Currencies: CBDC) โดยได้เริ่มดำเนินงานร่วมกับองค์การเงินตราฮ่องกง
(Hong Kong Monetary Authority) ซึ่งต่อมา ทั้งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และจีนต่างก็มาเข้าร่วมส่วนหนึ่งของโครงการ
Multiple CBDC Bridge รูปแบบใหม่”
นายอามิต กล่าวอีกว่า R3
ยังร่วมมือกับธนาคารกรุงเทพในการนำ Corda ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนแบบ open-source
ของ R3
มาใช้ยกระดับการทำงานและเปลี่ยนแปลงขั้นตอนบริการซื้อขายให้เป็นระบบดิจิทัล
ด้วยแนวทางนี้ ทำให้ธนาคารกรุงเทพสามารถใช้แพลตฟอร์มในการสร้าง แลกเปลี่ยน
ปรับปรุง และออกตราสารเครดิต (Letters of Credit L/C) ทั้งบน
Corda และ Contour ซึ่งเป็นเครือข่ายบริการทางการเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศที่พัฒนาขึ้นบน
Corda ซึ่งได้รับการจดทะเบียนและก่อตั้งขึ้นในสิงคโปร์
ด้วยการพัฒนากรอบการทำงานเรื่องการจดทะเบียนธนาคารดิจิทัล
ทำให้ R3
เชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมในภาพรวมจะได้รับความชัดเจนในเรื่องกฎระเบียบที่จำเป็น
ตลอดจนแบบพิมพ์เขียวเพื่อปูทางสู่การพัฒนาธนาคารดิจิทัลของประเทศในอนาคต
สิ่งนี้ถือเป็นหลักชัยสำคัญในภาคธุรกิจธนาคารและการเงินของประเทศ
ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่นวัตกรรมได้กลายเป็นตัวสร้างความแตกต่างสำคัญในการครองใจผู้ใช้งาน
ที่ต่างก็คาดหวังและต้องการบริการดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น ท้ายที่สุด
เมื่อประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่ธุรกิจธนาคารดิจิทัลอย่างรวดเร็ว
บล็อกเชนก็จะมีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้นในธุรกิจการเงินดิจิทัล
เพื่อการมอบโซลูชั่นธุรกรรมที่ง่ายดาย มีความโปร่งใสกับทุกฝ่าย
และครอบคลุมการทำงานหลายระบบได้อย่างสอดคล้องกัน
ความปลอดภัยบนบล็อกเชน
จะปูทางสู่ ยูสเคสใหม่ๆ
นายอามิต
กล่าวว่า หากพิจารณาถึงการพัฒนาของตลาดในปัจจุบัน R3
เห็นว่าความมั่นคงปลอดภัยเริ่มมีความสำคัญมากกว่าในอดีต
และได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจที่ใช้บล็อกเชนเพื่อมอบคุ้มครองแก่สินทรัพย์ของนักลงทุน
และลูกค้ามักจะเชื่อมั่นเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ที่พวกเขาเข้าใจและพิสูจน์แล้วว่ามีข้อดีและยืดหยุ่นในการใช้งานเท่านั้น
เมื่อความเชื่อมั่นได้รับการสนับสนุนด้วยหลักประกันเชิงเทคนิค
ก็จะช่วยเปิดโอกาสอีกมากมายในการยกระดับการทำงานในปัจจุบันและขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ ต่อไป
“เราทำงานในอุตสาหกรรมที่มีการควบคุมหลายประเภท
ทำให้เข้าใจว่าความเชื่อมั่นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อองค์กรนั้นๆ
สามารถนำเสนอโซลูชั่นที่สามารถมอบทั้งการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลและความมั่นคงปลอดภัยได้พร้อมกัน
และนี่คือเหตุผลที่ R3 พัฒนา Conclave เพื่อให้เอื้อต่อการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่น่าเชื่อถือ
(Trusted Execution Environments: Tees) แยกข้อมูลลูกค้าที่มีความอ่อนไหวออกได้
ในขณะทำการประมวลผล
จึงช่วยปกป้องอธิปไตยทางข้อมูลได้แม้ว่าข้อมูลกำลังถูกนำไปประมวลผลก็ตาม”
สิ่งนี้จึงปูแนวทางสู่การใช้งาน (Use
cases) รูปแบบใหม่ๆ เช่น การใช้ Public Cloud แบบใหม่ๆ ซึ่งองค์กรไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความมั่นคงปลอดภัยและความสอดคล้องตามกฎข้อบังคับต่างๆ ในขณะทำการโอนย้ายข้อมูลที่อ่อนไหวและต้องได้รับการควบคุมเข้าไปไว้ในคลาวด์
ระบบการปกป้องข้อมูลได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้งานรูปแบบใหม่ภายในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุม
และได้จุดประกายให้ R3 เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยใหม่ๆ สำหรับอุตสาหกรรมบล็อกเชน
เกี่ยวกับอามิต กอช
อามิต กอช
ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลและบริการแห่ง R3
ทำหน้าที่ดูแลการดำเนินงานระดับโลกขององค์กรโดยรับผิดชอบในด้านความปลอดภัยทางข้อมูล
โครงสร้างพื้นฐานและการทำงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การดำเนินงานลูกค้า
รวมถึงบริการและการสนับสนุนสำหรับมืออาชีพ นอกจากบทบาทการทำงานระดับโลก
เขายังดูแลการเติบโตของธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก โดยก่อนเข้าร่วมงานกับ R3
อามิตเคยดำรงตำแหน่งระดับสูงในฝ่ายการพัฒนาธุรกิจและการดำเนินงานมาแล้วหลายตำแหน่งทั้งที่
Visa, PayPal และ Hewlett Packard เขาสำเร็จหลักสูตรปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต
จากสถาบัน Chicago Booth และหลักสูตรปริญญาตรีด้านเทคโนโลยีจากสถาบัน
IIT-BHU ปัจจุบัน
อามิตมีฐานการปฏิบัติงานอยู่ที่สิงคโปร์
เกี่ยวกับ R3
R3
คือบริษัทผู้ให้บริการชั้นนำด้านเทคโนโลยีสำหรับวิสาหกิจ
เพื่อส่งเสริมการประสานความร่วมมือโดยตรงผ่านระบบดิจิทัลในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดซึ่งความเชื่อมั่นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
โซลูชันแบบพหุภาคีซึ่งพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์มของเราตั้งอยู่บนแนวคิด “Power
of 3” ซึ่งได้แก่ เทคโนโลยีแห่งความเชื่อมั่น
เครือข่ายที่เชื่อมโยงถึงกัน และความเชี่ยวชาญในตลาดที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด
เพื่อการขับเคลื่อนนวัตกรรมในตลาดและยกระดับการทำงานทั้งในสาขาการธนาคาร ตลาดทุน
การพาณิชย์ระหว่างประเทศ และธุรกิจประกัน
ในฐานะหนึ่งในบริษัทกลุ่มแรกที่นำเสนอทั้งแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันบนเทคโนโลยี
DLT สำหรับภาคเอกชนและเทคโนโลยีการประมวลผลข้อมูลที่เป็นความลับ
ทำให้ R3 สามารถส่งเสริมให้สถาบันต่างๆ
ตระหนักถึงศักยภาพที่เต็มเปี่ยมจากการร่วมมือโดยตรงผ่านระบบดิจิทัล
เราพยายามรักษาประสิทธิภาพการดำเนินงานในฐานะหนึ่งในระบบ ecosystem เพื่อการผลิตบนเทคโนโลยี
DLT รายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งเชื่อมโยงสถาบันมากกว่า
400 แห่งในหลายประเทศ
ครอบคลุมทั้งผู้บูรณาการระบบระดับโลก ผู้ให้บริการคลาวด์ บริษัทด้านเทคโนโลยี
ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ วิสาหกิจ ผู้กำหนดกฎระเบียบ
และสถาบันทางการเงินทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.r3.com หรือติดตามข่าวสารของเราได้ที่
Twitter หรือ LinkedIn