จัดการหุ้นในธุรกิจครอบครัว (ตอนที่ 2)
โครงสร้างการถือหุ้นที่ชัดเจนผ่านบริษัทโฮลดิ้งจะช่วยสร้างความสบายใจแก่สมาชิกทุกคน
ลดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนของคนในครอบครัว
และการจัดระเบียบเงินกงสีมาใช้อย่างเป็นระบบ จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกโดยไม่ก่อภาระภาษีที่ไม่จำเป็น
ทำให้การใช้เงินกงสีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
เราจะมาต่อกันในอีก 2 ประเด็นที่เหลือในเรื่องหุ้น ได้แก่ สมดุลของ “การเติบโต” VS “อำนาจควบคุม” และหน้าที่ “ผู้ถือหุ้น” VS หน้าที่ “เจ้าของ” นอกจากนี้ ผู้เขียนจะแถมอีกหนึ่งประเด็นสำคัญในเรื่องของการจัดโครงสร้างธุรกิจ กงสี และการกระจายผลประโยชน์แก่สมาชิกครอบครัวซึ่งมี “หุ้นกงสี” เป็นจุดศูนย์กลางของการบริหารจัดการทั้งหมด
ประเด็นที่ 3 : สมดุลของ “การเติบโต” VS “อำนาจควบคุม”
ถ้าธุรกิจเติบโต
แต่ครอบครัวต้องเสีย “อำนาจควบคุม” ไป คุณจะตัดสินใจอย่างไร?
ธุรกิจครอบครัวต้องพยายามอย่างที่สุดเพื่อรักษา
“อำนาจควบคุมกิจการ” ให้อยู่ในมือของคนในครอบครัว
ซึ่งอำนาจควบคุมกิจการอาจวัดได้จาก “อิสระ” ของครอบครัวในการกำหนดทิศทาง นโยบาย และกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจ
ซึ่งบางครอบครัวให้ความสำคัญในเรื่องของ “อำนาจควบคุม” ถึงขนาดที่ไม่ยอมให้หุ้นแม้แต่หุ้นเดียวกระเด็นไปอยู่ในมือของคนนอกครอบครัว
ทำไม “อำนาจควบคุม” ถึงมีความสำคัญเช่นนั้น?
“อำนาจควบคุม”
คือหัวใจของความอยู่รอดในระยะยาว
จุดแข็งประการหนึ่งของธุรกิจครอบครัวคือความสามารถที่จะอดทนเพื่อผลลัพธ์ระยะยาวได้
ยกตัวอย่างบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์
จะมีแรงกดดันให้ผู้บริหารต้องทำผลงานให้ดีขึ้นๆ อยู่ตลอดเวลา (ทุกๆ ไตรมาส) ซึ่งแรงกดดันนี้ทำให้เหล่าผู้บริหารต้องยอมทำอะไรที่เสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อผลงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าในวันใดวันหนึ่งจะต้องเกิดความผิดพลาดขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้น เพื่อลดแรงกดดันต่อผู้บริหาร ธุรกิจครอบครัวหลายแห่งจึงพยายามสร้างเสถียรภาพในระดับบอร์ดให้เกิดขึ้นโดยการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
คุมเสียงข้างมากได้ เพื่อสามารถอดทนต่อผลลัพธ์ระยะสั้นที่ไม่พึงปรารถนา เพื่อรอผลลัพธ์ระยะยาวที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์หรือแผนระยะยาว
Jaime II ทายาทรุ่นที่ 7 ของธุรกิจครอบครัวอยาลาจากฟิลิปปินส์เคยให้ทรรศนะในเรื่องนี้ว่า
“เป้าหมายของอยาลาคือการสร้างมูลค่าในระยะยาว (Long-term
Value Creation) มากกว่าการยอมตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของการสร้างผลกำไรระยะสั้น
และสิ่งสำคัญก็คือ การถือครองหุ้นในสัดส่วนที่ครอบครัวยังสามารถรักษาอำนาจการตัดสินใจไว้ได้
ดังนั้น “อำนาจควบคุมกิจการ”
จึงเป็นหัวใจของความอยู่รอดของธุรกิจครอบครัวในระยะยาว”
เป้าหมายการเติบโต
(Growth) อาจทำให้เสียอำนาจควบคุม
(Control)
ในหลายกรณี เป้าหมายที่จะเติบโตของธุรกิจถูกแลกมาด้วยการสูญเสีย
“อำนาจควบคุม” เช่น การขายหุ้นเพิ่มทุน
การควบรวมกิจการที่เป็นการลดสัดส่วนการถือหุ้นของคนในครอบครัวลง
นี่คือเรื่องของการรักษาสมดุลระหว่างเป้าหมายของการเติบโตทางธุรกิจ (Growth) และเป้าหมายในการรักษาอำนาจควบคุมกิจการ (Control) การรักษา
“อำนาจควบคุม” นั้นสามารถทำได้ไม่ว่าจะเป็นบริษัทในหรือนอกตลาดหลักทรัพย์
เช่น การใช้โครงสร้างโฮลดิ้ง (Holding
Company) เป็นเครื่องมือในการรวม และควบคุมเสียงโหวตของคนในครอบครัวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
หรือการใช้เทคนิค Dual-class Share หรือหุ้นบุริมสิทธิ์
เพื่อทำให้หุ้นที่สมาชิกครอบครัวถือ (แม้จะมีจำนวนน้อย) มีอำนาจโหวตเหนือกว่าผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ
หรือแม้กระทั้งการกำหนดกฎ “ห้ามขายหุ้น” โดยให้ขายหุ้นแก่สมาชิกครอบครัวกันเองภายในก่อน
ถ้าไม่มีคนซื้อจึงสามารถขายให้คนภายนอกได้ (จะปรากฏในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น)
โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการรักษา “อำนาจควบคุมกิจการ” ไว้ในครอบครัว
กรณีศึกษาของธุรกิจครอบครัวที่เติบโตดี
แต่ต้องสูญเสียอำนาจควบคุมไปตลอดกาล เช่น ธุรกิจครอบครัวเบียร์ดำ Guinness ที่ใช้กลยุทธ์การควบรวมกิจการในช่วงทศวรรษที่ 1970s กลยุทธ์นี้ส่งผลลดสัดส่วนการถือครองหุ้นของสมาชิกครอบครัวลง
และเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นของคนนอกมากขึ้น คนนอกก็ส่งตัวแทนของตนเข้ามาเพิ่มขึ้นทั้งในบอร์ดบริษัท
และในทีมผู้บริหาร กรรมการและผู้บริหารที่เป็น “คนนอก”
ครอบครัวเหล่านี้ไม่ได้มองว่าธุรกิจนี้ต่อไปจะเป็นของใคร
พวกเขาเพียงแค่ต้องการให้ธุรกิจเติบโตและมีผลกำไรที่ดี
และด้วยกลยุทธ์ควบรวมกิจการดังกล่าว สัดส่วนหุ้น Guinness ที่ครอบครัวถือก็ทยอยลดลงตามลำดับ จนกระทั้งถึงปี 1980 สัดส่วนการถือหุ้นของสมาชิกครอบครัวนั้นก็เหลือเพียงแค่ 20% และเมื่อถึงปี 1997 ซึ่งเป็นปีที่ Guinness Plc. ได้ควบรวมกิจการอีกครั้งกับ Grand Metropolitan และแปลงสภาพกลายเป็นบริษัท Diageo Plc. ผู้ผลิตและจำหน่ายแอลกอฮอล์ข้ามชาติขนาดใหญ่ ถึงตอนนี้ ครอบครัวกินเนสส์ก็เป็นเพียงแค่ผู้ถือหุ้นรายย่อยในอาณาจักรธุรกิจ Diageo ในปัจจุบัน
“ก่อหนี้”
คือการเสีย “อำนาจควบคุม” ไปให้ธนาคาร
บทความ “What You Can
Learn from Family Business” โดย Nicolas Kachaner, George
Stalk และ Alain Bloch พยายามตอบคำถามที่ว่า “ทำไมธุรกิจครอบครัวจึงเป็นรูปแบบธุรกิจที่ดีที่สุดในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ”[1]
ทฤษฎีการเงินบอกว่าการมี “หนี้” บ้างถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะช่วยดึงศักยภาพของธุรกิจออกมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างเต็มที่
แต่ธุรกิจครอบครัวไม่คิดเช่นนั้น “หนี้” คือความเสี่ยง “หนี้” หมายถึงโซ่ตรวนที่ทำให้ธุรกิจขยับตัวยากขึ้น
และ “หนี้” ยังหมายถึงการต้องรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้หรือนักลงทุนจากภายนอกด้วย
งานศึกษาครั้งนี้พบกว่า กลุ่มธุรกิจครอบครัวมีสัดส่วนการกู้หนี้ต่อทุนเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ
37% ในขณะที่ธุรกิจทั่วไปอยู่ที่ 47% (ในช่วงปี 2001-2009)
“ผู้คนมักจะคิดว่าพวกเรานั้นรวยและกล้าหาญ จริงๆ แล้วพวกเรานั้นขี้ขลาด
เรามักจะเก็บเงินสดเกือบทั้งหมดไว้ในบริษัทเพื่อหลีกเลี่ยงการต้องกู้ยืมซึ่งครอบครัวไม่ชอบ
เพราะเท่ากับว่าเราได้ถ่ายโอน “อำนาจ” การตัดสินใจไปให้กับธนาคาร”
ผู้บริหารธุรกิจครอบครัวแห่งหนึ่งให้ความเห็น
ธุรกิจครอบครัวเลือกที่จะโตตามธรรมชาติ
/ ควบรวมเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น
ธุรกิจครอบครัวมักจะหลีกเลี่ยงการควบรวมกับธุรกิจขนาดใหญ่
พวกเขาเลือกที่จะซื้อบริษัทที่เล็กกว่า
และมีธุรกิจใกล้เคียงกับธุรกิจหลักของครอบครัว
หรืออาจเป็นการขยายจากธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ แต่ธุรกิจครอบครัวอาจประพฤติต่างจากนี้ได้
ถ้าพวกเขาเห็นว่าได้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จะทำให้
“ธุรกิจหลัก” ของครอบครัวล้มหายตายไป
หรือการไม่ควบรวมอาจทำให้ธุรกิจครอบครัวไม่สามารถแข่งขันได้ และจะตกอยู่ในสภาวะที่ลำบากอย่างยิ่ง
หากเป็นเช่นว่านี้ ครอบครัวก็จะยอม “ควบรวม” กับธุรกิจที่ใหญ่กว่า
และอาจอยู่นอกเหนือกิจการที่ครอบครัวทำอยู่ก็ได้
ธุรกิจครอบครัวที่อยู่ในการศึกษาครั้งนี้
ไม่มีบริษัทใดสร้างการเติบโตด้วยการไล่ซื้อกิจการอื่น
ตัวเลขจากการศึกษาสะท้อนว่าโดยเฉลี่ยมูลค่าของการซื้อกิจการของธุรกิจครอบครัวจะอยู่ที่ประมาณ
2% ของรายได้ในแต่ละปี ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจครอบครัวจะมีมูลค่าการซื้อกิจการอยู่ที่
4% ของรายได้ในแต่ละปี นอกจากนี้
ธุรกิจครอบครัวมักเลือกที่จะโตตามธรรมชาติและชอบที่จะใช้แนวทางการสร้างพันธมิตรหรือ
“ร่วมทุน” (Joint
Ventures) มากกว่าการไล่ซื้อกิจการของคนอื่น
กรรมการของธุรกิจครอบครัวแห่งหนึ่งกล่าวว่า “เราไม่ชอบการควบรวมกิจการขนาดใหญ่ เพราะเสี่ยงเกินไป หากคุณทำผิดเวลา หรือลงทุนในช่วงขาลงคุณก็จะล้มเหลว และที่สำคัญการควบรวมกิจการอาจกระทบกับวัฒนธรรมภายในองค์กรด้วย”
ประเด็นที่
4 : หน้าที่เจ้าของ VS ผู้ถือหุ้น VS กรรมการ
“ผู้ถือหุ้น” ไม่ได้มีหน้าที่แค่รับปันผล
แล้วก็ไม่ได้มีหน้าที่ลงไปก้าวก่ายงานของ “ผู้บริหาร”
การระบุหน้าที่ๆ
ชัดเจนว่าใครมีหน้าที่อะไรในธุรกิจครอบครัวจะช่วยลดความขัดแย้งไปได้มหาศาล หากเราสามารถลากเส้นเชื่อมระหว่างความ
“ละเลย” และการ “ก้าวก่าย” ในการบริหารธุรกิจครอบครัว “ผู้ถือหุ้น” ควรจะยืนอยู่ที่จุดไหนเป็นคำถามที่สำคัญ “ธุรกิจครอบครัวของเรากำลังถูกส่งผ่านไปยังรุ่นที่
5 บทบาทของครอบครัวต่อจากนี้ไม่ใช่การบริหาร แต่คือการเป็น “เจ้าของ”
Krister Ahlström ทายาทธุรกิจครอบครัว Ahlström รุ่นที่ 4 เคยให้ทรรศนะไว้
แล้ว “เจ้าของ” “ผู้ถือหุ้น” “กรรมการบริษัท” ใครมีหน้าที่อะไรกันบ้าง?
ข้อสรุปที่สำคัญสำหรับประเด็นเรื่องหน้าที่
คือ “ผู้ถือหุ้น” ไม่ได้มีแค่รับปันผล แต่ยังมีหน้าที่ๆ
ต้องทำด้วย และ “เจ้าของ” ก็มีหน้าที่ของเจ้าของโดยจะต้องระมัดระวังไม่เข้าไปก้าวก่ายงานของ
“ผู้บริหาร” เพราะการกระทำดังกล่าวจะทำให้
“ผู้บริหารธุรกิจครอบครัว” (ไม่ว่าจะเป็นคนในหรือคนนอก)
ทำงานด้วยความยากลำบาก และยิ่งเมื่อมีเจ้าของหลายคน การก้าวก่ายของเจ้าของและผู้ถือหุ้นจะยิ่งยกกำลังความสับสนให้กับผู้บริหาร
ดังนั้น สมาชิกควรเข้าใจถึงความแตกต่างในหน้าที่ของ
“เจ้าของ” “ผู้ถือหุ้น” และ “กรรมการ” ให้ชัดเจน เพื่อปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสมในแต่ละบทบาทที่ตัวเองเป็นอยู่
ส่วนหน้าที่ของ “ผู้บริหาร”
นั้น ค่อนข้างตรงไปตรงมา พวกเขาได้รับค่าตอบแทนเพื่อทำงานขับเคลื่อนให้กิจการครอบครัวเติบโต
สร้างผลกำไรให้แก่ผู้ถือหุ้น และโดยทั่วไปเมื่อครอบครัวเป็นเจ้าของธุรกิจ ทายาทก็มักจะถูกคาดหวังโดยอัตโนมัติให้ต้องลงมาบริหารกิจการด้วยตัวเอง
แต่ความคาดหวังเช่นนี้มักจะลดน้อยลง และหายไปเมื่อธุรกิจครอบครัวเติบโตขึ้น หรือเมื่อผ่านไปแล้วหลายเจเนอเรชั่น
เพราะในสถานการณ์ที่ว่านี้ “คนนอก” มักจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นๆ
ในการเป็น “ผู้บริหาร” ของธุรกิจครอบครัว
ส่งผลให้ทายาทไม่ได้จำเป็นจะต้องเข้ามาบริหารกิจการของครอบครัวอีกต่อไป
ดังนั้น ในระยะยาวแล้ว
สมาชิกครอบครัวไม่ได้ผูกติดว่าจะต้องลงมาเป็น “ผู้บริหาร” กิจการครอบครัวหรือไม่ แต่พวกเขาจะผูกติดกับความเป็น “เจ้าของ” “ผู้ถือหุ้น” และ “กรรมการ” ของธุรกิจครอบครัวตลอดไป
(ตราบเท่าที่พวกเขายังถือหุ้นและมีอำนาจควบคุมอยู่)
ประเด็นที่ 5 : จัดโครงสร้างธุรกิจ กงสี และผลประโยชน์ครอบครัว (ภาพรวม)
ธุรกิจไม่ได้เกิดมาเพื่อธุรกิจ
แต่เกิดมาเพื่อครอบครัว
ความเข้าใจร่วมกันขั้นพื้นฐานในข้อนี้จะนำไปสู่การจัดโครงสร้าง
“ธุรกิจ” ที่สร้างผลกำไรสูงสุดแก่ “กงสี” (หมายถึงการสะสมความมั่งคั่งของครอบครัวร่วมกัน)
และการกระจายผลประโยชน์กลับไปสู่สมาชิกในรูปของเงิน (Pay) และสิทธิประโยชน์อื่นๆ
(Perks) เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราอาจแบ่งการจัดโครงสร้างธุรกิจครอบครัวออกเป็น
3 ชั้น ได้แก่ ชั้นที่ (1) การจัดโครงสร้างธุรกิจ ชั้นที่ (2)
การจัดโครงสร้างกงสี และชั้นที่ (3) การจัดโครงสร้างการกระจายผลประโยชน์
ดังนี้
ชั้นที่
(1) การจัดโครงสร้างธุรกิจ
ในชั้นแรกนี้เป็นเรื่องของการจัดโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัทประกอบการ
(Operating
Company: OC) ให้ชัดเจน โดยหากครอบครัวมีหลายธุรกิจ หลายกิจการ
ครอบครัวก็อาจมีการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งธุรกิจ (Business Holding Company : BHC) ขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้น (บริษัทแม่)
ในบริษัทประกอบการต่างๆ ของครอบครัว (บริษัทลูก) โดยการใช้บริษัทโฮลดิ้งในชั้นที่
1 นี้ เกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์สำคัญ คือ ครอบครัวสามารถดึง “นักลงทุนจากภายนอก” มาร่วมธุรกิจได้โดยไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับ
“กงสี” ของครอบครัวแต่อย่างใด จึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการระดมทุนและร่วมทุนของธุรกิจครอบครัว
ชั้นที่
(2) การจัดโครงสร้างกงสี
ผู้ถือหุ้นของบริษัทโฮลดิ้งครอบครัว (Family Holding
Company : FHC) หรืออาจเรียกว่า “หุ้นกงสี” นั้น ถือเป็นตัวกลางที่ทำหน้าที่สำคัญ 3
ประการ ได้แก่ (1) ควบคุมการทำงานของธุรกิจครอบครัว - Operating
Company ต่างๆ รวมถึง BHC ด้วย (2) บริหารจัดการความเป็นเจ้าของกิจการเหล่านั้นของครอบครัว และ (3) กระจายผลประโยชน์ให้แก่สมาชิก นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นกงสีก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็น
“บุคคล” แต่เพียงอย่างเดียว
ผู้ถือหุ้นกงสีอาจเป็น “นิติบุคคล” เช่น
สมาคม (Association) หรือมูลนิธิ (Foundation) ก็ได้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ สถานการณ์ และความเหมาะสมของแต่ละครอบครัวที่ไม่เหมือนกัน
ชั้นที่
(3) การจัดโครงสร้างการกระจายผลประโยชน์
เมื่อผู้ถือหุ้นกงสีในชั้นที่ 2
กระจายความมั่งคั่งออกมาให้แก่สมาชิกครอบครัวนั้น ผลประโยชน์ส่วนมากจะเป็นสวัสดิการในรูปตัวเงิน
(Pay)
เช่น เงินเดือนสมาชิก เงินหลังเกษียณ เบี้ยประชุมต่างๆ เป็นต้น รวมถึงสวัสดิการอื่นๆ
(Perks) เช่น ประกันสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาล
ค่าการศึกษาบุตรหลาน เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย สิทธิการใช้บ้านพักตากอากาศ
การเข้าร่วมกิจกรรมครอบครัว ทริปครอบครัว ฯลฯ เป็นต้น นอกจากนี้
หลายครอบครัวยังมีการจัดตั้งกองทรัสต์ (Trust) ในต่างประเทศเพื่อทำหน้าที่กระจายดอกผลจากทรัสต์ให้แก่ลูกหลานโดยมีธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็น
“ทรัสตี” ทำหน้าที่บริหารจัดการ
ทั้งนี้ หลักสำคัญในการจัดโครงสร้างธุรกิจ
และกงสีที่ดีมี 3 ประการ ได้แก่ (1) ตอบโจทย์ครอบครัว (2)
ชัดเจนแก่สมาชิก (ทุกคน) และ (3) ประหยัดภาษี
การจัดโครงสร้างทั้ง 3 ชั้น ดังรูป Burger FOB ข้างต้น จะช่วยทำให้การบริหารธุรกิจเป็นไปอย่างคล่องตัว
ครอบครัวมีอำนาจควบคุมกิจการอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ โครงสร้างการถือหุ้นที่ชัดเจนผ่านบริษัทโฮลดิ้งจะช่วยสร้างความสบายใจแก่สมาชิกทุกคน
ลดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนของคนในครอบครัว และการจัดระเบียบเงินกงสีมาใช้อย่างเป็นระบบจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกโดยไม่ก่อภาระภาษีที่ไม่จำเป็น
ทำให้การใช้เงินกงสีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
Resources:
· นวพล วิริยะกุลกิจ, “ธรรมนูญครอบครัว”, เอกสารการบรรยาย,
พฤศจิกายน 2565
· Nicolas Kachaner, George Stalk และ Alain Bloch, “What You Can Learn from Family Business,” Harvard Business Review, November 2012
[1] ผู้เขียนทั้ง 3 ร่วมกับ Sophie
Mignon นักวิจัยจาก Center for Management and Economic
Research แห่งวิทยาลัยโพลีเทคนิค Ecole ได้ทำการศึกษาธุรกิจครอบครัวจำนวน
149 บริษัทโดยทั้งหมดเป็นบริษัทมหาชนที่มีรายได้ต่อปีสูงกว่า
1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสัดส่วนหุ้น “จำนวนมาก”
ที่ถือโดยสมาชิกครอบครัว (ครอบครัวอาจไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ได้)
และสมาชิกครอบครัวได้เข้ามามีบทบาทในบอร์ดหรือทีมผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง