ถอดบทเรียนความล้มเหลว การควบรวมกิจการ (ตอนที่ 1)
ผมเชื่อว่า อัตราความสำเร็จและความล้มเหลวของการควบรวมกิจการของธุรกิจในตลาดทุนในปัจจุบันนั้น คงอยู่ในอัตราประมาณร้อยละ 50 เพราะผู้ซื้อผู้ขายคงต้องพิจารณาข้อดีข้อเสีย และมีข้อมูลก่อนทำ M&A อยู่แล้ว
การควบรวมกิจการ (M&A)
เป็นเรื่องที่มีความสำคัญกับธุรกิจของประเทศไทย
และเป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราอาจจะได้ข่าวเรื่องความสำเร็จ แต่ไม่ค่อยได้ทราบข่าวความล้มเหลว
ผมได้เคยเขียนบทความเรื่อง
ความล้มเหลวของการควบรวมกิจการ บทเรียนที่ควรรู้ ตีพิมพ์ไว้ในวารสารการเงินธนาคารมา
2 ตอน เมื่อปี
พ.ศ.2559 โดยไม่ได้เขียนไว้ในหนังสือควบรวมกิจการ แต่คงเขียนไม่จบสมบูรณ์
เพราะผมได้เคยเขียนไว้ได้แค่ 2 ตอน
โดยในบทความดังกล่าว ผมนำข้อสรุปมาจาก
หนังสือที่ชื่อว่า Why Deals fail & How
to rescue them, โดย Anna
Faelten, Michel Driessen, Scott Moeller (The
Economist 2016) โดยในบทความได้ระบุว่า
อัตราความสำเร็จของการควบรวมกิจการ (M&A) นั้น แต่เดิมมีความสำเร็จแค่ ร้อยละ 20 ถึง 30
แต่เป็นความล้มเหลวถึงร้อยละ 70 และ 80 จนกระทั่ง เมื่อปี 2000 อัตราความสำเร็จ เพิ่มขึ้นมาถึงร้อยละ 50
ผมยังไม่มีข้อมูลความสำเร็จของการควบรวมกิจการในปัจจุบันที่จะนำมาเล่าให้ฟัง
โดยเฉพาะข้อมูลของการควบรวมกิจการในประเทศไทยที่ไม่มีหน่วยงานใดรวบรวมไว้
นอกเหนือจากจำนวนของธุรกรรม M&A ที่เกิดขึ้น
ผมเชื่อว่า
อัตราความสำเร็จและความล้มเหลวของการควบรวมกิจการของธุรกิจในตลาดทุนในปัจจุบันนั้น คงอยู่ในอัตราประมาณร้อยละ 50
เพราะผู้ซื้อผู้ขายคงต้องพิจารณาข้อดีข้อเสีย และมีข้อมูลก่อนทำ M&A
อยู่แล้ว ซึ่งแต่หากเทียบเคียงสัดส่วนกับความสำเร็จของกิจการ Start Up ซึ่งมีความสำเร็จของธุรกิจ
Start Up ประมาณร้อยละ 5 ถึง 10
มีการร่วมลงทุน
โอกาสความสำเร็จของการเข้าซื้อกิจการของ Start Up ก็จะยังน่าจะอัตราต่ำ
แต่ด้วยสภาวะทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
และเหตุการณ์โควิด-19
รวมถึงการเจริญเติบโต ของ Start Up และ
กองทุนส่วนบุคคล Private Equity Fund เราจะเห็นว่า ทำให้การควบรวมกิจการในกิจการต่างๆ
ย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การถอดบทเรียนของธุรกรรม M&A โดยเฉพาะข้อผิดพลาดเพื่อเรียนรู้และไม่ทำผิดพลาดอีก
จึงน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้เกี่ยวข้อง
เมื่อผมได้ย้อนไปอ่านหนังสือที่ผมเขียนไว้ในหนังสือ
“รู้เฟื่องการควบรวมกิจการของโอกาสธุรกิจไทย”
(บทที่ 3 อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของการปรับโครงสร้างธุรกิจไทยกับกฎหมาย (หน้า 29
ถึง 44) โดยในหนังสือได้อ้างถึง บทความ เมื่อปี พ.ศ.2545
ของนิตยสาร Fortune ที่เขียนเรื่อง Why Companies Fail ที่บอกถึงสาเหตุหลักๆ ของความล้มเหลวของบริษัทในสหรัฐอเมริกา
ที่เรียกว่า บาป 10 อย่าง
ของบริษัท Ten Corporate Sins) ซึ่งก็พบว่า
ความล้มเหลวของบริษัทส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริการในช่วงเวลาดังกล่าวเกิดจากการตัดสินใจในการควบรวมกิจการเป็นส่วนใหญ่
โดยยังคงมีสาเหตุหลักคล้ายๆ
กันคือ บริษัทส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จทางการเงินมากจึงตัดสินใจทำการควบรวมกิจการโดยที่ปราศจากข้อมูลที่เพียงพอ
เพียงแต่ต้องการสร้างมูลค่าในตลาดทุนให้สูงขึ้น,โดยเฉพาะการประเมินถึงโอกาสของความสำเร็จภายหลังการควบรวมกิจการ,
การบริหารความเสี่ยง ด้านการดำเนินการ Execution Risk และเรื่องของสภาพคล่อง Liquidity Risk และที่สำคัญ คือ ความเปลี่ยนแปลงของสภาวะทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก
ซึ่งผู้อ่านอาจไปลองหาอ่านดูในรายละเอียด โดยผมจะนำมาประยุกค์ใช้กับการถอดบทเรียนของการควบรวมกิจการในประเทศไทยในบทต่อไป
ในบทความ
ความล้มเหลวของการควบรวมกิจการบทเรียนที่ควรรู้ตอนที่ 1 และตอนที่ 2 ผมได้เขียนไว้
การทำ M&A จะต้องแบ่งเป็น
3 ขั้นตอน
1.ขั้นตอนการเตรียมการ
โดยต้องเริ่มจากขั้นตอนที่
1 คือ ในการเตรียมการ
(Pre Deal) ก่อนการตัดสินใจเข้าไปในการซื้อกิจการ
โดยต้องพิจารณาว่าจะเลือกรูปแบบไหนที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด โดยต้องคำนึงว่า มีเหตุผลความจำเป็นแค่ไหนเพียงไรในการควบรวมกิจการ
ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อหรือขายทั้งหมดหรือเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกัน,
มีการกำหนดวิสัยทัศน์ให้ชัดเจน ว่าการควบรวมกิจการนั้นจะสามารถบรรลุเป้าหมาย สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทได้หรือไม่
คณะกรรมการบริษัทจะมีประโยชน์อย่างยิ่งที่จะให้ความคิดเห็น
ที่จะยังให้คำแนะนำมากกว่าจะเป็นการดำเนินกิจการหรือข้อเสนอของฝ่ายจัดการแต่เพียงอย่างเดียว
และการดำเนินตามกลยุทธ์นั้น จะต้องมีความยืดหยุ่น และมีการติดตามถึงการปฏิบัติตามกลยุทธ์และมีการติดตามเป้าหมายความสำเร็จเป็นระยะเวลาหลายปี
ไม่ใช่ดูแต่ตัวเลขทางการเงินแต่เพียงอย่างเดียว
ข้อมูลขอบริษัทเป้าหมายควบรวมกิจการก็มีความสำคัญ ไม่ว่าเข้าไปซื้อหรือขาย,
บุคลากร วัฒนธรรม และความมั่นคงทางไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ที่จะเป็นองค์ประกอบของความสำเร็จในภายหลัง
2.ขั้นตอนการการกำหนดราคา
ขั้นตอนที่ 2 คือ การกำหนดราคา ในการเตรียมการที่สำคัญคือ การกำหนดราคาในการซื้อขายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อความสำเร็จ
เพราะผู้ซื้อก็อยากซื้อในราคาถูก ผู้ขายก็อยากขายในราคาแพง ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจึงต้องมีกลยุทธ์ในการเจรจากำหนดราคาที่เป็นธรรม
เพราะหากซื้อแพงก็อาจไม่คุ้มค่าและอาจถูกผู้ถือหุ้นฟ้องได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศก็จะถูกผู้ถือหุ้นฟ้องร้องถ้ากำหนดราคาที่ไม่เป็นธรรมได้
การเจรจาเรื่องราคาจึงเป็นปัจจัยหลักของความล้มเหลวหรือความสำเร็จ
วิธีเจราจาราคาและจะต้องมีการกำหนดว่า
ถ้าหากราคาที่ไม่เป็นไปตามที่ตกลง ผู้ซื้อจะต้องพร้อมจะยกเลิกและเดินออกจาก Deal
นั้นได้ หรือ (Walk Away
Price) ราคาซื้อขายถึงแม้ว่าการกำหนดราคานั้นส่วนใหญ่ที่ปรึกษาการเงินจะเป็นผู้ให้คำแนะนำ
โดยมีการคำนวณข้อมูลทางการเงินไม่ว่าจะเป็นราคาเฉลี่ยของหุ้นในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งในตลาดหรือผลตอบแทนของ
IBITDA หรือ Premium
เป็นวิธีการที่ผู้บริหารที่เป็นผู้ซื้อจะต้องระมัดระวังหลังจากที่ได้ข้อมูลในการซื้อขายแล้ว
เพราะราคาส่วนใหญ่มันจะสูงกว่าราคาตลาดในระหว่างร้อยละ 20 ถึง 40
นอกจากนี้ ทางฝ่ายจัดการก็ต้องดูว่ามีต้นทุนกระแสเงินสดรวมทั้งหนี้สินของบริษัทเป้าหมายเมื่อเทียบเคียงกันแล้ว
จะสามารถทำให้ธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่
นอกเหนือจากความเสี่ยงในเรื่องราคาแล้ว ก็ต้องดูเรื่องความเสี่ยงทางการเมือง เทคโนโลยี
และทางกฎหมายต่างๆ อีกด้วย ที่อาจจะทำให้ Deal ดังกล่าวล้มเหลว
นอกเหนือจากกำหนดราคา
ควรมีการตรวจสอบสถานะทางกฎหมายพร้อมกับการคำนวณมูลค่า, ซึ่งรวมทั้งการคำนวณมูลค่าทรัพย์สินทั้งที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง
ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาต่างๆ ซึ่งจะมีประมาณร้อยละ 5 ของมูลค่า และการวางแผนทางการเงิน ต้นทุนในการซื้อกิจการว่าจะเป็นการกู้หรือชำระเงินแบบใด
มีข้อสังเกตว่า
การจ่ายราคาที่สูงเกินไปนั้นไม่ใช่จะเป็นอุปสรรคที่ทำให้การควบรวมนั้นล้มเหลว
เพียงแต่อาจจะทำให้ผลตอบแทนหรือความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายที่วางไว้โดยเฉพาะผลตอบแทน
อาจจะช้าขึ้น
การกำหนดราคาซื้อขายนั้น
ไม่ใช่เป็นศาสตร์แต่เป็นศิลปะ ไม่เพียงแต่ใช้ผู้ชำนาญทางการเงินอย่างเดียว
3.ขั้นตอนการเจรจาทั้งก่อนและหลัง
M&A
ในบทความเดิมตอนท้าย
ผมไม่ได้กล่าวถึงขั้นตอนที่ 3 เรื่องของการเจรจา
เพื่อที่จะให้ข้อตกลงการควบรวมกิจการนั้นสามารถ บรรลุเป้าหมายความสำเร็จได้ไม่ว่าจะเป็น
เรื่องเทคนิคในการเจรจา, การมีส่วนร่วมและ บทบาทของหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลธุรกิจดังกล่าวที่อาจจะมีผลกระทบต่อความสำเร็จ
และการดำเนินธุรกรรมหลังการควบรวมกิจการ (Post M&A) จะต้องทำให้ธุรกรรม M&A กิจการนั้น เป็นไปตามเป้าหมาย และหากปรากฎว่า กิจการที่ซื้อมาไม่ประสบความสำเร็จผู้ขายก็อาจต้องขายกิจการนั้นออกไปหรือยกเลิกหรือปิดกิจการไป
ในบทสรุปของหนังสือเล่มดังกล่าว
ได้สรุป 5 ข้อไว้ที่น่าสนใจ
เรื่อง M&A
เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด คือ
1. การควบรวมกิจการ
ไม่ใช่เป็นเพียงให้กลยุทธ์แต่เป็นวิธีการที่จะทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายในระยะยาว
การควบรวมกิจการให้สำเร็จก็ต้องใช้เวลา, กำลังเงิน
และฝ่ายจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ โดยไม่ใช่เอาเวลามาเป็นตัวกำหนดแต่เพียงอย่างเดียว
2. การควบรวมกิจการ
ไม่ใช่ศาสตร์แต่เป็นศิลปะ เพราะการควบรวมกิจการนั้นจะเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกและแรงกดดันของบุคคลหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการ
และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือฝ่ายบริหาร ดังนั้นเมื่อมีการประกาศทำการควบรวมกิจการ
ฝ่ายบริหารจะพบว่า การเจรจาเพื่อจะให้ Deal สำเร็จได้นั้นจะต้องมีความยืดหยุ่นในการเจรจา และพร้อมจะยกเลิกถ้าไม่สามารถตกลงกันได้
3. อย่าคำนึงแต่เพียงว่าการทำ
M&A เป็นการทำดีลที่ดีและเหมาะสม
(Doing The Right Deal) แต่เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องดูว่าทำอย่างไร ให้เป็นการทำ
M&A ที่เป็นไปอย่างถูกต้อง
(Doing The Deal Right) ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเป้าหมาย
การตรวจสอบสถานะทางการเงิน และการดำเนินงานรวมทั้งการกำหนดราคาในการที่จะทำให้ดีลนี้สำเร็จ
แต่ที่สำคัญคือ
หลังจากที่ควบรวมกิจการ (Post M&A) ต้องมีการติดตามดูว่า
การควบรวมกิจการนั้นบรรลุเป้าหมายได้จริงหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่แล้วนักลงทุนมักจะมุ่งถึงการควบรวมกิจการในตอนต้น
แต่มักจะไม่ติดตามดูว่ากระบวนการดำเนินการหลังควบกิจการนั้นจะสำเร็จหรือได้ผลอย่างไรจึงจะต้องทำให้ดีลถูกต้องในทุกรูปแบบ
เพราะต้องใช้เวลาในการติดตามผลงานด้วย
4. รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาด
อย่าทำผิดพลาดซ้ำสองในการตัดสินใจ
ปกติแล้วการทำควบกิจการนั้นของบริษัทขนาดใหญ่อาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้แต่จะต้องเรียนรู้ไม่ให้เกิดความผิดพลาด
ซึ่งสองตัวอย่างของกรณี GE และ Cisco
System ที่เรียนรู้ความผิดพลาดในการควบรวมกิจการในระยะต้น
ต่อมาบริษัทนั้นก็ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดและทำดีล M&A ประสพความสำเร็จได้
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น
5. อย่าลืม การวางแผน,
การสื่อสาร, และบุคลากรจะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้การควบรวมกิจการสำเร็จได้ องค์กรที่จะทำ
M&A ต้องสนใจและตั้งใจดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ผมตั้งใจนำบทสรุปของบทความทั้งสองและจากแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่อง
M&A ของต่างประเทศมาร้อยเรียงให้เข้ากับธุรกิจไทย
เพื่อเป็นการถอดบทเรียนให้มาเป็นข้อคิดในการตัดสินใจว่าผู้บริหาร เจ้าของกิจการ และ
กรรมการ นำมาเรียนรู้จากความผิดพลาดไม่ให้ผิดพลาดซ้ำอีก เพื่อดำเนินการให้เกิดความสำเร็จในการทำควบรวมกิจการไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่
ธุรกิจ Start Up หรือธุรกิจครอบครัวของประเทศไทยต่อไปครับ