SCBX กับการแปรรูป เป็นบริษัท Holding ยิ่งแตกยิ่งโตจริงหรือ?
ส่วนตัวผมเห็นว่า การแปรรูปของ SCB เป็นเรื่อง "การยิ่งแตกยิ่งโต" เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเปลี่ยนให้สถาบันการเงินเป็น Tech Company แต่การกำกับดูแลก็มีความสำคัญพอๆ กัน
เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ได้มีการประกาศของคณะกรรมการ
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) ในการแปรรูปหรือการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมาใหม่
ที่เรียกว่า SCBX ยานแม่ตัวใหม่ โดยจะถอดถอน SCB ออกจากตลาดหลักทรัพย์ และนำบริษัท SCBX เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนแทนในรูปลักษณะของบริษัท
Holding Company
มีคำถามว่า การจัดตั้งบริษัท Holding Company ของสถาบันการเงินนั้น เป็นเรื่องใหม่ในขวดเก่าหรือไม่
และเป็นการยิ่งแตกยิ่งโตตามแนวคิดของนายห้างเทียม โชควัฒนา
ในการสร้างกลุ่มบริษัทสหพัฒน์ในอดีต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันการกำกับดูแลของสถาบันการเงินและการประกอบธุรกิจภาคการเงินได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก
โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องการให้บริการครบวงจร ได้เริ่มมาประมาณหลังปี พ.ศ.2540 ที่เรียกว่า Universal Banking ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
บรรดาธนาคารพาณิชย์ไทยต่างๆ
ได้มีการจัดตั้งบริษัทที่ให้บริการทางการเงินเป็นบริษัทลูกเป็นจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทบัตรเครดิต บริษัทสินเชื่อส่วนบุคคล
บริษัทบริหารสินทรัพย์ บริษัทจัดการกองทุนรวม
หรือบริษัทประกันภัยและประกันวินาศภัย หรือบริษัทที่ทำด้าน Fintech และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้านเทคโนโลยีด้านการเงิน แต่ไม่ได้ดำเนินการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจของบริษัทลูก
มาวันนี้ธนาคาร SCB ได้เป็นผู้บุกเบิกในการจัดโครงสร้างบริษัทขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทลูกที่เป็นการให้บริการทางการเงินครบวงจรในการที่จะนำบริษัทดังกล่าวเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตเพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นและมีความยืดหยุ่น
รวมทั้งในการขยายธุรกิจใหม่ๆ โดยการ Spin off หาผู้ร่วมทุนในบริษัทลูกเพื่อสร้างมูลค่าให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้น
หรืออาจเรียกได้ว่า ทำเพื่อให้ "ยิ่งแตกยิ่งโต"
โดยธุรกิจต่างๆ ของธนาคารแบ่งเป็นธุรกิจหลัก 2 ประเภท คือ
1.ธุรกิจที่มีกระแสเงินสดอยู่ตลอดเวลา
ที่เรียกว่า Cash Cow Company เช่น ธุรกิจธนาคาร รับฝากเงิน การปล่อยสินเชื่อลูกค้ารายใหญ่
บริษัทประกัน และเปลี่ยนเป็น Digital และ Tech
Company อันเป็นธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน
2.ธุรกิจที่มีโอกาสเจริญเติบโตสูงในอนาคต
ไม่ว่าจะเป็นการเข้าตลาดหลักทรัพย์
หรือการร่วมลงทุน (Joint
Venture) กับผู้ประกอบธุรกิจที่มีความชำนาญโดยการนำฐานข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า
14 ล้านราย เพื่อขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ เช่น
ในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนามให้เพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านราย
โดยโอกาสนำ ธุรกิจ New Growth ของกลุ่มบริษัทที่แตกตัวออกมา หากเมื่อได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตก็จะเป็นการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นของธนาคาร
SCB ได้อีก เช่น
1) ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลและธุรกิจบัตรเครดิต
Card X (ซึ่งจะกระทบกับกลุ่มธุรกิจบัตรเครดิตเดิม เช่น KTC
หรือ AEON)
2) เข้าแข่งขันธุรกิจการปล่อยสินเชื่อกับเจ้าของรถหรูหรือยานพาหนะที่มีราคาแพง
โดยเป็นพันธมิตรกับกลุ่มบริษัทมิลเลนเนียม Alpha X ที่มีความชำนาญในการบริหารจัดการยานพาหนะราคาแพงที่ขายเฉพาะกลุ่มเศรษฐีใหม่ของไทย
3) AISCB ร่วมลงทุนกับ AIS
ที่มีฐานข้อมูลลูกค้ามือถือจำนวนมาก เพื่อทำสินเชื่อดิจิตอล
4) Tech X ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเพื่อทำธุรกิจเทคโนโลยีระดับโลก
5) จัดตั้งกองทุน Venture
Capital มูลค่าประมาณ 20,000-26,800 ล้านบาทร่วมกับเครือซีพี
ในการทำธุรกิจเน้นการลงทุนในด้านเทคโนโลยีด้านการเงิน เช่น สินทรัพย์ดิจิทัลไฟแนนซ์และเทคโนโลยีอื่นๆ
โดยการลงทุน Venture Capital นั้น เครือเจริญโภคภัณฑ์และกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์จะลงทุนเป็นจำนวนเงินฝ่ายละ
100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่เหลือก็จะระดมทุนจากนักลงทุนที่ได้รับการรับรองและเครดิต
แต่ทั้งนี้ กลุ่มบริษัท SCB Connect ก็อาจจะเข้าร่วมทำงานใน Venture
Capital ใหม่นี้ด้วย
6) Auto X ที่มีลักษณะการปล่อยสินเชื่อลิสซิ่งรถยนต์ให้กับผู้มีรายได้น้อยหรือกลุ่มรากหญ้า
ซึ่งจะเป็นคู่แข่งของกลุ่มให้สินเชื่อส่วนบุคคลกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็น เมืองไทยลิสซิ่ง
ศรีสวัสดิ์เงินติดล้อ บริษัทเงินติดล้อ
7) SCB Abacus ที่ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อออนไลน์เงินทันเด้อโดยใช้เทคโนโลยี AI ซึ่งมีผู้ร่วมลงทุนชุดแรก 400 ล้านบาท และ
8) ธุรกิจส่งอาหารออนไลน์ที่เรียกว่าโรบินฮู้ด
ภายใต้บริษัท Purple Inc. ซึ่งจะเป็นคู่แข่งการขายสินค้าผ่าน
Platform ของ Grab และ Line
จับตากลยุทธ์ SCB บรรลุวัตถุประสงค์ได้หรือไม่
เราคงจะต้องจับตาดูว่ากลยุทธ์ที่ทาง SCB ได้กำหนดไว้นี้ว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ได้หรือไม่
เพราะมีขั้นตอนที่จะต้องเริ่มดำเนินงานอีกพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการขออนุมัติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
การจัดตั้งบริษัท การโอนพนักงานและลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโอนข้อมูลของลูกค้าต่างๆ
ให้กับบริษัทลูกแต่ละอันที่ถูกแยกออกไป การดำเนินการตามแผนดังกล่าวคงมีประเด็นข้อกฎหมายและภาษีที่จะต้องพิจารณา
ไม่ว่าจะเป็นการ Delist หรือถอดถอนโครงสร้างบริษัท SCB
ออกจากตลาดพร้อมการแลกหุ้นในบริษัท SCBX แต่ไม่น่าจะยุ่งยากเพราะสิ่งเหล่านี้สถาบันการเงินในอดีตได้ทำมาแล้ว
รวมถึงการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยหากมีการขยายรูปแบบธุรกิจแบบนี้
ความจริงแนวคิดของการแยกธนาคารพาณิชย์ให้เป็นบริษัทลูกของบริษัท
Holding
Company ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่เพราในอดีตเคยมีสถาบันการเงินที่เป็นธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินการจัดโครงสร้าง
แบบ Holding Company มาแล้ว 2 ธนาคาร
คือ
1. กลุ่มธนาคารทิสโก้
ที่มีการแลกหุ้นและจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งถือหุ้น
ของบริษัทลูกทั้งหมดในกลุ่มที่ให้บริการทางการเงิน
2. กลุ่มทุนธนชาตจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ที่มีการถือหุ้นผ่านธนาคารธนชาตที่ถือหุ้นบริษัทลูกที่ประกอบธุรกิจการเงิน
และปัจจุบันได้ควบรวมเป็นธนาคาร TTB
เพียงแต่ว่าการจัดกลุ่มบริษัทลูกที่ไม่ได้มีการหาผู้ร่วมทุนทำธุรกิจในด้านเทคโนโลยีหรือธุรกิจปล่อยกู้
โดยผ่านเทคโนโลยีต่างๆ อย่างจริงจัง
ดังนั้น การดำเนินงานของ SCB ในวันนี้ ในเชิงกฎหมายและภาษีอากรจึงถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ ความจริงการพยายามที่จะนำธนาคารพาณิชย์ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเรื่องที่มีความพยายามคิดกันอยู่มาช้านาน เพราะเชื่อว่าการเป็นธนาคารพาณิชย์และยังถูกกำกับด้วยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น จะเป็นภาระและทำให้การประกอบธุรกิจไม่สามารถ ดำเนินการได้อย่างเสรีและรวดเร็วเพราะการกำกับดูแลของธนาคารพาณิชย์ ในลักษณะของ Consolidated Supervision จะทำให้บริษัทลูกต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์มีข้อจำกัดในการทำธุรกิจเช่นกัน
บททดสอบสำคัญสำหรับธนาคารอื่น
การตัดสินใจของ
SCB
ครั้งนี้ก็เป็นบททดสอบที่จะทำให้ธนาคารพาณิชย์อื่นจะต้องมาเหลียวมองว่า
สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกรุงเทพ
จำกัด ธนาคารกสิกรไทย จำกัด ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด ซึ่งมีบริษัทลูกที่ให้บริการทางการเงินครบวงจรอยู่แล้วจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เช่นเดียวกับ
SCB หรือไม่
มีข้อสังเกตว่า
ธุรกรรมในการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งในประเทศไทยเป็นเรื่องใหม่หรือไม่
โดย คุณณัฐ เหลืองนฤมิตชัย
ได้ให้ความเห็นไว้น FB
ของท่านโดยได้ยกตัวอย่างรูปแบบ Bank Holding Company ในสหรัฐอเมริกาว่า "เรื่องแบบนี้ใม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
ธนาคารกลางสหรัฐฯ จริงๆ แล้วสนับสนุน Bank Holding Company เสียด้วยโดยให้มีการแยกธุรกิจ
Bank และ Nonbank ออกจากกันอย่างชัดเจนเพื่อลดความเสี่ยงและมีการกำกับดูแลและมีการปรับปรุงกฎหมายมาเรื่อยๆ
ตลอดเกือบ 70 ปีที่ผ่านมา เช่น
การห้ามการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity)
และล่าสุด
(ปี พ.ศ.2546)
มีการออก Regulation W เพื่อควบคุมรายการเกี่ยวโยงกันระหว่างสถาบันการเงินและบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน,
การซื้อขายสินทรัพย์ระหว่างกัน, การร่วมลงทุนระหว่างกัน, การค้ำประกัน
และการใช้สินทรัพย์ของบริษัทที่เกี่ยวข้องกันเป็นหลักประกัน, การให้กู้ยืมเงินกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
โดยมีหลักประกันไม่เหมาะสม, การซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
ซึ่งรายการเหล่านี้
หากเกินกว่าวงเงินที่กำหนดไว้ จะต้องมีการทำรายงานอย่างละเอียด หากทำผิดกฎที่กำหนดไว้
บริษัทอาจจะโดนลงโทษทางแพ่งและมีค่าปรับที่รุนแรง รวมทั้งปัญหาการผูกขาดของธุรกิจบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์อีกส่วนหนึ่งด้วย
ข้อที่ต้องระวังว่า หากในอนาคตของการทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันนี้
แต่เป็นธุรกิจสถาบันการเงินมีปัญหาเพราะถูก Disrupt จนไม่สามารถอยู่ได้ต่อไป
หรือเกิดวิกฤติการณ์จนล้มละลาย Bank Holding Company จะยอมทิ้งธนาคารและเก็บรักษามูลค่ากิจการในธุรกิจอื่นที่เหลือไว้แทนหรือไม่ที่กล่าวไว้ข้างต้นในการผ่องถ่ายทรัพย์สินและผลประโยชน์ออกมาจากธนาคารลูกให้ได้มากที่สุด"
คุณณัฐ เหลืองนฤมิตชัย เสนอว่า
ธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลควรที่จะศึกษาข้อมูลเหล่านี้และออกกฎที่มากำกับดูแล Bank Holding
Company ให้ดีขึ้นอย่างเร่งด่วน
เพื่อที่จะลดความเสี่ยงและปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดยการออกกฎหมายเพื่อให้มีอำนาจในการกำกับดูแล
Bank Holding Company อย่างเหมาะสม
เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ในอนาคต
ข้อสังเกตข้างต้นของคุณณัฐเป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า
ในอนาคตหากมีธนาคารพาณิชย์อื่นๆ จะดำเนินการทำนองเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยควรกำกับดูแลแบบใด
ส่วนตัวผมจึงเห็นว่า การแปรรูปของ SCB เป็นเรื่อง "การยิ่งแตกยิ่งโต"
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเปลี่ยนในสถาบันการเงินเป็น Tech Company แต่การกำกับดูแลก็มีความสำคัญพอๆ กัน
หากดูจากแผนโครงสร้างและแผนงานของ SCB ถ้าหากทำได้จริง SCB ก็จะกลายเป็นสถาบันการเงินที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่
สร้างมูลค่าให้ธุรกิจและสามารถตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
แต่ต้องดูว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำกับดูแลและมีนโยบายเช่นใดในอนาคต
จากประสบการณ์ของผมในฐานะที่เคยเป็นที่ปรึกษาการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินไทยมาตลอดระยะเวลา
30 ปี ที่ผ่านมานั้น พบว่าการตัดสินใจของธนาคาร SCB ครั้งนี้
จะส่งผลกระทบให้กับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ
ที่จะต้องนำมาดูว่ากลยุทธ์และยุทธศาสตร์โดยการยิ่งแตกและยิ่งโตของ SCB จะประสบความสำเร็จได้จริงหรือไม่
เป็นเรื่องที่รอการพิสูจน์ในเวลาอันใกล้นี้แม้ขณะนี้ตลาดทุนได้ตอบรับในเชิงบวกไปแล้ว
โดยส่วนตัวผมเห็นว่า
ยุทธศาสตร์นี้เป็นการตัดสินใจที่รวดเร็วให้ธุรกิจสถาบันการเงินเปลี่ยนเป็นบริษัทเทคโนโลยีย่อมได้เปรียบแน่นอน
ผมมีข้อสังเกตในประเด็นที่สำคัญดังนี้
1.จะทำอย่างไรให้แผนงาน
ให้แผนการแยกธุรกิจออกจากกันตามหลักยิ่งแตกยิ่งโตมีความชัดเจนว่าจะเป็นประโยชน์กับพนักงาน
ลูกจ้าง ผู้ถือหุ้น และ Stakeholders คนอื่นๆ (เช่น ลูกหนี้
ลูกค้า) ในระยะยาวต่อไป และจะขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์นี้ได้อย่างไร โดยผู้ถือหุ้น
กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ของกลุ่มบริษัทเหล่านั้น จะต้องมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน โดยทุกฝ่ายเข้าใจเจตนารมณ์
และช่วยกันขับเคลื่อนให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการแยกทำธุรกิจดังกล่าวนี้ได้ โดยไม่ใช่เป็นธุรกิจที่แยกเป็นส่วนๆ
หรือ Silo แต่จะหาทางให้เกิดความร่วมมือ (Collaboration)
ของแต่ละองค์กรของลูกอย่างไร
2.การใช้ข้อมูล (Data)
ลูกค้า การแชร์กลยุทธ์ การกำหนดวิสัยทัศน์ การทำงาน
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อให้เกิดการประสานงานเพื่อทำให้การขับเคลื่อนนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่
เป็นเรื่องสำคัญมาก โดยต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
3.ผมหวังว่ารูปแบบยิ่งแตกยิ่งโตนี้จะทำให้ประชาชนระดับรากหญ้าและผู้ด้อยโอกาส
ธุรกิจ SME จะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้
4.ผมเชื่อว่า จำนวนพนักงานของธนาคารและบริษัทลูกจะต้องมีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
พนักงานของธนาคารและบริษัทลูกจึงต้องพร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้ธุรกิจใหม่ๆ
ต่อไป
5.การติดตามนโยบายการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยในกรณีของสถาบันการเงินอื่นๆ
หากจะทำในรูปแบบเดียวกัน จะป้องกันไม่ให้เกิดประเด็นถ่ายโอนผลประโยชน์ และการมีอำนาจเหนือตลาดจากการผูกขาดได้อย่างไร
เรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายการทำธุรกิจการเงินในรูปแบบใหม่
ผมขอเป็นกำลังใจให้กับคณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน และลูกค้า ของธนาคารไทยพาณิชย์
ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์กรครั้งนี้ ให้ประสบความสำเร็จ.