ส่องประเด็นกระทบราคาทอง ไตรมาสสุดท้ายของปี 65
ใน 3 เดือนสุดท้ายของปี 2565
ราคาทองคำโลกมีโอกาสผันผวนมาก เนื่องจากมีหลากหลายประเด็นสำคัญที่เตรียมกระทบทองคำโลก
อย่างดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯและผลกระทบที่กำลังจะตามมาต่อเศรษฐกิจ, เศรษฐกิจยุโรปกับปัญหาพลังงาน
ภายใต้การขึ้นดอกเบี้ยของ ECB
และสุดท้ายการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ
ดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ
และผลกระทบที่กำลังจะตามมา
สิ่งที่นักลงทุนทองคำต้องสนใจดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
เนื่องจากส่งผลต่อราคาทองคำโลกโดยตรง เพราะคาดการณ์ขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
เป็นปัจจัยกระตุ้นนักลงทุนให้เก็งกำไรกับดอลลาร์
ซึ่งค่าเงินดอลลาร์จะมีทิศทางตรงกันข้ามกับราคาทองคำที่ซื้อขายโดยสกุลเงินดอลลาร์
โดยค่า Correlation หรือ
ค่าสหสัมพันธ์ ของค่าเงินดอลลาร์และราคาทองคำโลกในปี 2565 มีเท่ากับ -0.6
กลับมาที่เงื่อนไขการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
โดยอ้างอิงจากธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED)
เปิดรายงานการประชุม FOMC ในเดือน
ก.ค. 2565 ได้กล่าวถึงประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยโดย กรรมการ FED แสดงถึงความพยายามจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงที่สุดเท่าที่จำเป็น
และสามารถคุมอัตราเงินเฟ้อได้ แต่หากเศรษฐกิจสหรัฐฯมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลง
FED มีโอกาสที่จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
มาที่คำถามสำคัญคือ FED มองเศรษฐกิจสหรัฐฯในตอนนี้อย่างไร
เพื่อที่จะได้วิเคราะห์ว่า การประชุม FOMC ที่เหลือของปีนี้จะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยอีกกี่ครั้ง
โดย FED ประเมินเศรษฐกิจส่วนที่ดี
คือ ภาคแรงงานขยายตัวดี แต่เศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วงการบริโภคและการผลิตชะลอตัว
โดยสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ตามที่ FED กล่าวมาได้
ดังนี้
1. ภาคแรงงานขยายตัวจริง
เพราะการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือน ก.ค. แตะ 315,000 ราย
ประกอบกับอัตราการว่างงานลดลงแตะ 3.7%
2. การบริโภคและการผลิตน่าเป็นห่วงก็จริง
เนื่องจากยอดค้าปลีกเดือน ก.ค. ขยายตัวคงที่
ส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตขยายตัวลดลงแตะ 53 จุด
ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 25 เดือน และการบริโภครวมถึงการผลิตที่ชะลอตัว
ทำให้ความรู้สึกของประชาชนลดลง ชี้วัดผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯแตะ
95 จุด เป็นจุดต่ำสุดในรอบ 17 เดือน
หากเศรษฐกิจสหรัฐฯมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลง
จะต้องเห็นการชะลอตัวของภาคแรงงาน สิ่งที่ตามมา คือ การชะลอขึ้นดอกเบี้ย
ฉะนั้นแล้วนักลงทุนต้องติดตามการประกาศตัวเลขจากภาคแรงงานสหรัฐฯได้แก่
1. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ประกาศทุกวันพฤหัสบดี
2. การจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราการว่างงานประกาศทุกวันศุกร์ต้นเดือน
3. ยอดการเปิดรับตำแหน่งงานประกาศ 35
วันหลังจากสิ้นเดือน
ทั้งนี้
แนวโน้มของธนาคารกลางสหรัฐฯที่จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสอีก 2 ครั้งในปีนี้
เพราะมีการประชุม FOMC ในวันที่
2 พ.ย. และ 14 ธ.ค. โดยคาดการณ์ว่าเดือน พ.ย.จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% และ ธ.ค.
จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.5%
สรุป
แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯในปีนี้มีโอกาสแตะ 4.5%
มีแนวโน้มจะเกิดการถือดอลลาร์มากขึ้น
ในเงื่อนไขที่ตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐฯยังแข็งแกร่ง จะเป็นปัจจัยกดราคาทองคำโลก
เศรษฐกิจยูโรโซนภายใต้ปัญหา
พลังงานและการขึ้นดอกเบี้ย
เริ่มที่ปัญหาพลังงานของยูโรโซน
นับจากที่รัสเซียเปิดฉากบุกยูเครนทำให้ชาติตะวันตกประกาศคว่ำบาตรต่างๆ
นานากับรัสเซีย และเป็นที่มาให้รัสเซียเริ่มลดปริมาณส่งพลังงานไปยุโรป
โดยสมาคมท่อส่งแคสเปียน (CPC)
ผู้บริหารจัดการน้ำมันประมาณ 1% ของโลก
เปิดเผยว่า การส่งออกน้ำมันจากทุ่นเทียบเรือรับน้ำมันดิบ 2 ใน 3
แห่งในทะเลดำได้ถูกระงับ และแสดงให้รู้ว่า
การขนส่งก๊าซธรรมชาติของรัสเซียไปยังยุโรปลดลงประมาณ 75% เมื่อเทียบเป็นรายปี
และการที่รัสเซียหยุดส่งพลังงานให้ยูโรโซน ยังไม่ทำให้ยูโรโซนขาดแคลนพลังงาน
แต่แล้วปัญหาโลกร้อนก็ทำให้ยูโรโซนเจอกับวิกฤติภัยแล้ง
ทำให้ขาดแคลนทั้งน้ำใช้และไฟฟ้า โดยปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำลดลง
20%
เนื่องจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแม่น้ำลดลงจนถึงระดับที่ไม่เพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้า
ส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์บางแห่งต้องหยุดเดินเครื่องเพราะขาดแคลนน้ำในการหล่อเย็นเตาปฏิกรณ์
ทำให้ยุโรปต้องพึ่งพลังงานรูปแบบอื่น
โดย ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์
และสเปน หันมาใช้ถ่านหินมาผลิตพลังงานเพิ่มขึ้นถึง 20%
และถ่านหินที่ยุโรปนำเข้ามาส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และแอฟริกาใต้
ซึ่งราคาถ่านหินแตะ 441.3 จุด กำลังสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และราคาก๊าซธรรมพุ่งแตะ
458.9 ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต เป็นระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัญหาที่ตามมาคือ
ต้นทุนการใช้ชีวิตของประชาชนในยุโรปกำลังเพิ่มขึ้น
หมายความว่าอัตราเงินเฟ้อยุโรปสามารถพุ่งได้มากกว่านี้ ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปและสร้างปัญหาให้รัฐบาลและธนาคารกลางยุโรปในการออกนโยบายหลังจากนี้
ส่วนประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของยุโรป โดยนางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) พยายามที่จะกดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเฟ้อเกิดจาก 2 ด้าน
1. เงินเฟ้อเกิดจากต้นทุนสินค้า หรือ เงินเฟ้อด้านอุปทาน (Cost-Push Inflation) มาจากต้นทุนการผลิตซึ่งมาจากราคาพลังงานที่สูงในยูโรโซน และ
2.เงินเฟ้อด้านอุปสงค์ (Demand-Pull
Inflation) มาจากความต้องการใช้จ่าย ซึ่ง ECB ไม่สามารถลดเงินเฟ้อเกิดจากต้นทุนสินค้า
แต่สามารถลดเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่มาจากความต้องการใช้จ่าย และหาก ECB จะลดเงินเฟ้อก็ต้องขึ้นดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB)
ส่งสัญญาณให้ความสำคัญต่อเงินเฟ้อมากกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ
สรุปประเด็นเศรษฐกิจยูโรโซนที่มีความน่าเป็นห่วงจากราคาพลังงานที่สูงดันให้อัตราเงินเฟ้อของยุโรปสูง
มีความเสี่ยงกดการบริโภค การลงทุน การส่งออกและนำเข้า ทำให้ GDP ยูโรโซนขยายตัวลดลงอาจขึ้นเข้าสู่การหดตัวและนำมาซึ่งการถดถอยเศรษฐกิจในปี
2566 มีแนวโน้มกดค่าเงินยูโร และกดราคาทองคำ
การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ
อาจเป็นจุดจบไบเดน?
ประเด็นนี้คือการเลือกตั้งสหรัฐฯในวันที่
8 พฤศจิกายน พ.ศ.2565 จะมีการเลือกในวุฒิสภา 34 ที่นั่งจาก 100 ที่นั่ง
และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ทั้งชุด 435 คน
นับเป็นจุดเปลี่ยนของการเมืองสหรัฐฯ
ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐตอนนี้เสียงข้างมากอยู่กับพรรคเดโมแครตมี 221 เสียง
ซึ่งไบเดน เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
และได้เป็นในปี 2564 และริพับลิกันเป็นฝ่ายข้างน้อยมี 211 เสียง
ส่วนวุฒิสภาสหรัฐฯคะแนนเสี่ยงของ เดโมแครตบวกอิสระ และริพับลิกันมี 50
เสียงเท่ากัน
แต่สถานการณ์ปัจจุบันของไบเดนมีคะแนนนิยมตก
เนื่องจากการรับมือกับโควิด-19,
เศรษฐกิจที่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น, ประเด็นที่เกิดความแตกแยกในสังคม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผู้อพยพ เชื้อชาติ และสิทธิในการทำแท้ง
รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจอย่างจีน และรัสเซีย อยู่ในขั้นตกต่ำ
จากปัจจัยที่กล่าวมานี้ทำให้ประชากรของสหรัฐฯไม่พอใจในการทำงานของ ไบเดน
และมองว่าไบเดนประสบความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการเมืองสหรัฐฯที่ทำให้ไบเดน
ไม่สามารถใช้นโยบายได้เต็มที่
เพราะหากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯและวุฒิสภามีการเปลี่ยนขั้วอำนาจมาเป็นพรรคริพับลิกันถือเสียงข้างมากทั้ง
2 สภา ไบเดนก็เตรียมตัวกลับไปนั่งเล่นที่บ้านในการเลือกตั้งสมัยหน้าได้เลย
หากไบเดนมีอำนาจน้อยลงในการบริหารประเทศจะส่งผลต่อนโยบายหลังจากนี้ของสหรัฐฯ
และทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯที่ขยายตัวต่ำ สามารถเข้าสู่ระดับการหดตัวได้เลย
จึงเป็นมุมมองที่ว่า หากพรรคริพับลิกันถือเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา
เศรษฐกิจสหรัฐฯเตรียมชะลอตัว ซึ่งส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์ที่อาจอ่อนค่า
และราคาทองคำจะกลับมาอีกครั้ง
สรุปการส่องประเด็นกระทบทองไตรมาสสุดท้ายของปี
65 มีทั้งหมด 3 ปัจจัยได้แก่ การใช้ดอกเบี้ยของ FED, เศรษฐกิจของยุโรปในสภาวะราคาพลังงานสูง
พร้อมการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB
รวมถึงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ
ในกรณีที่ราคาทองคำโลกปรับขึ้นต้องลุ้นให้เศรษฐกิจสหรัฐฯมีปัญหาจากการขึ้นดอกเบี้ยที่แรงและการเมืองสหรัฐฯมีเสียงข้างมากเป็นพรรคริพับลิกัน
พร้อมกับเศรษฐกิจยุโรปถดถอยด้วย หากลุ้นให้ราคาทองคำลงต้องเห็นการขึ้นดอกเบี้ยโดยที่ภาคแรงงานยังแข็งแกร่ง
และเศรษฐกิจยุโรปถดถอยจากราคาพลังงานและดอกเบี้ยที่สูง
ทั้งนี้
ผู้เขียนคาดการณ์ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ว่า 1.การขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้อาจแตะ
4-4.5% 2.เศรษฐกิจยุโรปมีปัญหาแน่ และ 3.การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯไม่ว่าพรรคใดจะได้เสียงข้างมากอาจยังไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจมากนัก
จะมีแต่ความกังวลของนักลงทุนที่ส่งเข้ามา
จึงมองราคาทองคำโลกมีโอกาสปรับตัวลงมากกว่าขึ้น